วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Tango is a dance that has influences from Spanish and African culture.[2] Dances from the candombe ceremonies of former slave peoples helped shape the modern day Tango. The dance originated in lower-class districts of Buenos Aires and Montevideo. The music derived from the fusion of various forms of music from Europe.[3] The word "tango" seems to have first been used in connection with the dance in the 1890s. Initially it was just one of the many dances, but it soon became popular throughout society, as theatres and street barrel organs spread it from the suburbs to the working-class slums, which were packed with hundreds of thousands of European immigrants, primarily Italians, Spanish and French.[4]
In the early years of the 20th century, dancers and orchestras from Buenos Aires travelled to Europe, and the first European tango craze took place in Paris, soon followed by London, Berlin, and other capitals. Towards the end of 1913 it hit New York in the USA, and Finland. In the USA around 1911 the word "tango" was often applied to dances in a 2/4 or 4/4 rhythm such as the one-step. The term was fashionable and did not indicate that tango steps would be used in the dance, although they might be. Tango music was sometimes played, but at a rather fast tempo. Instructors of the period would sometimes refer to this as a "North American tango", versus the "Rio de la Plata tango". By 1914 more authentic tango stylings were soon developed, along with some variations like Albert Newman's "Minuet" tango.
In Argentina, the onset in 1929 of the Great Depression, and restrictions introduced after the overthrow of the Hipólito Yrigoyen government in 1930 caused tango to decline. Its fortunes were reversed as tango again became widely fashionable and a matter of national pride under the government of Juan Perón. Tango declined again in the 1950s with economic depression and as the military dictatorships banned public gatherings, followed by the popularity of rock and roll.
In 2009 the tango was declared as part of the world's "intangible cultural heritage
วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553




ต้นยูคาลิปตัส (Eucalyptus) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ ต้นยูคาลิปตัส ที่ Watts River ในรัฐวิคตอเรีย (Victoria) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งสูงถึง 132.6 เมตร (435 ฟุต)
วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จิงโจ้ต้นไม้ อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายหนึ่งเดียวในสวนสัตว์สิงค โปร์ หลังจากบ้านเกิดเมืองนอนเดิมในปาปัวนิวกินีสภาพป่าถูกทำลายไปมาก จากการลักลอบตัดไม้มานาน แต่ตอนนี้ทางปาปัวฯ เริ่มคิดได้ จึงจัดพื้นที่ป่าส่วนหนึ่งขนาดเท่าประเทศสิงคโปร์เป็นเขตอนุรักษ์ เพื่อรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่หายาก อย่างเจ้าจิงโจ้ต้นไม้ตัวนี้ และสัตว์ป่าอื่นๆ

ไอโซพอด (Isopod) เป็นสัตว์จำพวกครัสเตเชียนกลุ่มที่มีความหลากหลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง พบอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ แต่จะพบได้มากที่สุดในทะเลน้ำตื้น สัตว์กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากครัสเตเชียนส่วนใหญ่ เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกได้ดี (อันดับย่อย Oniscidia ได้แก่ เหาไม้ และแมลงสาบทะเล) แม้ว่าพบได้หลากหลายที่สุดในทะเลลึกก็ตาม (อันดับย่อย Asellota) มีหลายสปีชีส์ในจีนัส Cymothoa ที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในช่องปากของปลา รู้จักกันในชื่อว่า "ตัวกัดลิ้น (Tongue biter)" สัตว์ในกลุ่มไอโซพอดจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบฟอสซิลตั้งแต่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (อันดับย่อย Phreatoicidea วงศ์ Paleophreatoicidae) ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อยไปจากกลุ่ม Phreatoicidean ยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทางซีกโลกใต้
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553
นักชีววิทยาชาวออสเตรเลียได้ค้นพบว่า มดผลิตปฏิชีวนะสารเพื่อการควบคุมโรคในบริเวณที่อยู่อาศัย จากการทดลองของโรงพยาบาลแห่งนครซิดนีย์ได้พบว่า ปฏิชีวนะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กว้างขวาง สามารถทำลายจุลินทรีย์ได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคในคน เช่น เชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans)
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับมดหลายเชื้อสาย เพราะเขาสนใจว่าทำไมมดจึงไม่มีส่วนช่วยในการผสมดอกไม้ในขณะที่ผึ้งและตัวต่อซึ่งเป็นแมลงที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์พบว่า เกสรดอกไม้จะตายไปเมื่อสัมผัสกับตัวมดอันเนื่องมาจากสารที่ถูกขับถ่ายออกมาจากต่อมบริเวณทรวงอกของมดที่เรียกว่า ต่อมเมตาพูลรอล (metapleural glands)
เมื่อได้ศึกษาต่อไปจึงพบว่า สารที่มดขับออกมามีฤทธิ์เป็นปฏิชีวนะสารเรียกว่า เมตาพูลริน (metapleurin) ซึ่งมดใช้ในการป้องกันการติดเชื้อราและแบคทีเรีย สารนี้มีคุณสมบัติเป็นไขมัน ซึ่งแตกต่างจากยาปฏิชีวนะอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เมตาพูลรินนี้มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญ คือ ทำให้เกสรดอกไม้เหี่ยวเฉาและตายไป
จากการศึกษาพบว่า มีมดเพียงเชื้อสายเดียวที่ไม่มีต่อมเมตาพูลรอล มดชนิดนี้จึงมีหน้าที่ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ได้อย่างสำคัญ นั่นคือ สามารถช่วยในการผสมเกสรกล้วยไม้ได้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าฤทธิ์ของเมตาพูลรินต่อแบคทีเรียชนิดต่างๆ มากกว่า 300 ชนิด ให้ผลแตกต่างกันไป และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียก่อโรคจำพวกฝีหนองที่สำคัญได้ดี
บริษัทยาในประเทศอังกฤษได้ให้ความสนใจต่อฤทธิ์ของเมตาพูลรินที่สามารถทำลายเชื้อราได้ บริษัทยาได้เรียกร้องให้พิสูจน์ว่า เมตาพูลรินสามารถทำลายเชื้อราได้จริงๆ และจากผลการทดลองของโรงพยาบาลเวสต์มีคพิสูจน์ว่า เมตาพูลรินมีฤทธิ์ทำลายเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ได้ผลดีมาก และขณะนี้กำลังศึกษาฤทธิ์ของยานี้ต่อเชื้อราชนิดอื่นๆ ต่อไป
