วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

เพื่อนคืออะไร
เพื่อน คือพันธสัญญาแห่งความเข้าใจที่ตรงกัน
เพื่อน คือบุคคลที่คบกับเราในลักษณะที่เราเป็นอยู่ โดยที่เราไม่ต้องใส่หน้ากาก
เพื่อน คือมิตรแท้ที่กล้าให้คำมั่นสัญญาต่อมิตรได้
เพื่อน คือมิตรที่พยายามส่งเสริมเรา ให้ความสนใจเรา เชื่อในตัวเราตามที่เราเป็นจริง
เพื่อน คือคนที่ยังอยู่กับเรา ร่วมทุกข์ร่วมสุขแม้ในเวลาที่เราไม่มีประโยชน์จะให้
เพื่อน คือคนที่รักเรา แม้เราจะทำสิ่งไม่ดีที่สุด แต่ศัตรูเกลียดเรา เเม้เราจะทำแต่สิ่งที่เขาก็รู้ว่าดีที่สุด
เพื่อน คือคนที่เข้าใจเราได้โดยไม่จำเป็นต้องพูดมากเพราะเขาคุ้นเคย และรู้จักความคิดความอ่านของเรา แค่มองหน้าก็รู้ปัญหา แค่มองตาก็เข้าใจ
เพื่อน คือผู้ที่หาโอกาสช่วยจัดสรรอย่างเต็มที่โดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากขอ
เพื่อน คือบุคคลที่เราสามารถฝากชีวิตจิตใจได้โดยเฉพาะยามทุกข์ลำบาก
เพื่อน คือคนที่ไม่ได้เห็นผิดเป็นชอบ แต่ตักเตือนเราไม่ให้หลงผิดและแนะนำทิศให้ถูกทาง
เพื่อน คือคนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับเราในทุกอย่างทุกครั้ง แต่เป็นคนที่คิดพิจารณาและตักเตือนเราด้วยในบางครั้ง
เพื่อน คือคนที่ช่วยเราด้วยความเต็มใจ
เพื่อน คือคนที่ก้าวเหยียดอย่างสุดกำลังเพื่อช่วยเรา
ปัญหาที่พบบ่อยๆ..เหตุเบื่ออ่านหนังสือ
ตาเพลีย (eyestrain) ในยามที่ตาอ่อนเปลี้ยเพลียกำลังลง จะทำให้เราไม่สามารถตั้งสมาธิ ในการอ่านหนังสือต่อไปได้เพราะจะมีอาการปวดรอบๆ ตาและหน้าผาก เราเรียกว่า " ตาเพลีย " ซึ่งมักเกิดจากการใช้สายตามากในการอ่านเพื่อการทำงาน หรืออ่านตำราเพื่อการศึกษาหรือสอบก็ตาม ซึ่งถ้าแหล่งของแสงไม่เพียงพอ หรือมีความผิดปกติในการนำภาพเป็นลำแสงให้ตกลงพอดีที่จอรับภาพด้วยแล้ว ก็จะยิ่งเกิดง่ายขึ้น สาเหตุที่ทำให้ตาเพลียได้บ่อยคือ คนที่มีสายตายาว ทำให้กล้ามเนื้อบังคับการเคลื่อนไหวของลูกตาต้องทำงานหนักในความพยายาม ที่จะเปลี่ยนรูปร่างของเลนส์จนแสงตกที่จอรับภาพให้ได้ นานๆ เข้ากล้ามเนื้อก็ล้า รวมทั้งกล้ามเนื้อหน้าผากและก่อให้เกิดอาการปวดดังกล่าว ภาวะนี้จะลดลงได้ถ้าจัดแสงให้เหมาะสม โดยให้ส่องมาจากด้านหลังไหล่ หรือใช้ตาอ่านหนังสือแล้วพักเป็นระยะๆ และถ้าจำเป็นก็ให้ใช้แว่นที่ตัดมาอย่างเหมาะสม
ทายนิสัยจากการอ่านหนังสือ
สิ่งที่จะทำให้รู้นิสัยของคนเรานั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างและ กริยาท่าทางหรือความสนใจในบางสิ่งก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกนิสัยของคนเราได้เช่นกัน อย่างการอ่านหนังสือก็สามารถบ่งบอกได้เช่นกันนะ ลองมาดูกันนะคะว่าจะตรงกับนิสัยของคุณหรือเปล่า1**สมมุติว่าเราหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่ม หากเราเปิดอ่านแค่คร่าว ๆ โดยไม่ได้ใส่ใจที่จะอ่านรายละเอียดมากนัก แสดงว่าเป็นคนใจร้อน วู่วาม เวลาจะทำงานอะไรก็ จะไม่ค่อยละเอียดถี่ถ้วนนักจะให้ความสนใจแต่เรื่องหลัก ๆ ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า นึกอยากจะทำอะไรก็จะลงมือเลยแบบตามใจตัวเองโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน จึงมักจะมีเรื่องให้ผิดหวังอยู่เสมอ
2**เปิดอ่านแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ แสดงว่าเป็นคนที่มีความเป็นเด็กอยู่ในตัวสูง มักเอาแต่ใจตัวเอง นึกคิดอะไรก็ทำไปอย่างนั้น ไม่ค่อยนึกถึงจิตใจผู้อื่นเท่าใดนักแต่เป็นคนจิตใจดี ใจกว้าง ชอบ ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าใกล้หรือกล้าเข้ามาทำความรู้จักด้วย
3**ชอบอ่านทุกหน้าและทุกเรื่อง จะเป็นคนใจกว้าง ยอมรับความคิดหรือสิ่งใหม่ ๆ ได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นความคิดของใครก็ตาม เป็นคนที่ให้โอกาสคนอื่นสูงความสนใจใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ และทันเหตุการณ์และหากสนใจในเรื่องใด ก็มักจะทุ่มเทให้กับเรื่องนั้นเพื่อให้รู้จริง มีความคิดกว้างไกลมากและมักจะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้าง
4**ชอบออกเสียงเวลาอ่านหนังสือ แสดงให้เห็นถึงการมีใจคอเปิดเผยจริงใจและซื่อสัตย์ต่อทุกคนที่คบด้วยและเป็น คนไว้ใจได้ไม่ค่อยมีพิษมีภัยกับใคร เป็น คนรักสงบ มีชีวิตเรียบง่าย สมถะ รักธรรมชาติถึงแม้จะไม่ใช่คนมีภูมิความรู้อะไรมากนักแต่ก็มีความน่านับถืออยู่ในตัว มีโลกส่วนตัวและมีโลกในอุดมคติของตัวเอง

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นั่งนานมะเร็งถามหา
นั่งนานมะเร็งถามหา (Lisa)
วันนี้คุณนั่งนานไปรึเปล่า มะเร็งอาจถามหาได้นะ
ที่ประชุมของ American Institute for Cancer Research ชี้ว่า การไม่ออกกำลังอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งได้ โดย คริสตีน ฟรีดเดนไรช์ นักระบาดวิทยาและทีมวิจัยจาก Alberta Health Services-Cancer Care ในแคนาดา ชี้ว่า การไม่ออกกำลังอาจเป็นสาเหตุของ มะเร็งปอด 37,200 ราย มะเร็งเต้านม 49,000 ราย และ มะเร็งลำไส้ 43,000 ราย ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ นักวิจัยยังชี้ว่า เฉลี่ยแล้วผู้ใหญ่ทั่วไปนั่งวันละ 15.5 ชั่วโมง แต่ข่าวดีก็คือ เพียงลุกขึ้นมาเดินแค่ 1-2 นาที ก็จะช่วยลดระดับสารที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งในร่างได้แล้วค่ะ
ภัยร้ายความเค็มสะสมจากพริกน้ำปลาภัยร้ายความเค็มสะสมจากพริกน้ำปลา (Woman's Story) ทราบหรือไม่ว่าพริกน้ำปลา นอกจากไม่ได้จัดให้อยู่ในชุดอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุแล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุโดยไม่รู้ตัว เพื่อไม่เสียเวลา เราไปติดตามข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวกันเลยค่ะ... องค์การอนามัยโลกให้รับประทานอาหารที่มีโซเดียมได้ไม่เกินวัน 1,400 มิลลิกรัม ซึ่งอาหารไทยส่วนมากจะมีรสจัดโซเดียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนดมาก และโซเดียมที่ใกล้ตัวมากที่สุดและคนมักมองข้ามคือพริกน้ำปลา ที่แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการรับประทานอาหารของคนไทยไปแล้ว เพราะจะเห็นว่าคนที่จะรับประทานอาหารมักจะคลุกเคล้าข้าวกับพริกน้ำปลา และเติมพริกน้ำปลาในอาหาร นอกจากนี้แล้วก่อนที่จะกินก๋วยเตี๋ยวก็มักจะเติมน้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มสายชูลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารรสเค็มมาก ๆ และบ่อย ๆ จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมองแตก โรคหัวใจ และไตวาย รวมทั้งโรคกระดูกพรุน ซึ่งผู้ที่เป็นโรคดังกล่าวอยู่แล้วจะต้องระมัดระวังอาหารที่มีโซเดียมสูง เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในโรคที่เป็นอยู่ เนื่องจากโรคดังกล่าวนี้เหมือนกับภัยเงียบที่ไม่บ่งบอกอาหารให้ผู้ป่วยได้รู้ คนที่เป็นก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อเป็นความดันสูงอยู่เรื่อย ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ความยืดหยุ่นเส้นเลือดน้อยลง เส้นเลือดแข็งก็จะเปราะบาง เมื่อมีความดันสูงเรื่อย ๆ ไม่สามารถคุมได้แล้วเกิดเส้นเลือดแตกตามจุดสำคัญต่าง ๆ ก็จะทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ กลายเป็นคนพิการ และที่ร้ายแรงที่สุดคือเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
แซนวิช จานด่วนที่อาจไม่ปลอดภัย
แซนวิช จานด่วนที่อาจไม่ปลอดภัย (Modernmom)โดย: ผศ.นสพ.ดร.ศุภชัย เนื้อนวลสุวรรณภาควิชาสัตว์แพทยสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ กระทั่งวันหยุดยาว บางครอบครัวที่พอจะมีเวลาว่างสักเล็กน้อย ก็อาจจะมีการตระเตรียมอาหารหรือของว่างเองไปกินระหว่างเดินทาง เพื่อจะได้ไม่ต้องลุ้นว่าจะต้องผจญหรือสุ่มเสี่ยงกับอาหารนอกบ้านมากเกินไป ทั้งเรื่องสุขอนามัยหรือความสะอาดของร้านอาหาร แต่ใช่ว่าการเตรียมอาหาร เช่น อาหารจานด่วนทำเสร็จรวดเร็วนั้นก็อันตรายได้เช่นกัน จานด่วนเชื้อโรคมาด่วน อาหารจานด่วนหรือฟาสฟู้ดที่ได้รับความนิยมกันมาก รวมถึงการตระเตรียมก็ไม่ยุ่งยากมากนัก ก็เพียงแค่จัดหาส่วนประกอบอาหารที่พร้อมบริโภคอยู่แล้วนำมารวมกัน เช่น แซนวิชหรือแฮมเบอร์เกอร์ หลายท่านก็คงจะเริ่มเห็นภาพนะครับแล้วว่า แซนวิชนั้นทำง่ายมาก เพียงแต่ซื้อวัตถุดิบอาหารสำเร็จรูปนำมารวมกัน เช่น ขนมปัง ประกบรวมกับ ไส้แซนวิช ซึ่งอาจจะเป็น แฮม ปูอัด หมูหยอง เบคอน ทูน่า หรือไส้อื่นใดเท่าที่จะจัดหาได้ และเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ครบด้วยการเพิ่มผักสลัดเข้าไป จากนั้นก็เชื่อมขนมปังกับไส้ ด้วยกาวที่ทานได้และมีรสชาติอร่อย เช่น Salad Cream Sandwich Spread หรือ มายองเนส เป็นต้น ทั้งหมดนี้ก็คงใช้เวลาไม่นานมากนัก แม้ว่าวัตถุดิบอาหารทุกชนิดที่ประกอบเป็นแซนวิชจะมีความสะอาดและปลอดภัยต่อการบริโภคเพียงใดก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นประเด็นที่หมอซุปต้องเน้นย้ำ คือ ความสะอาดของสองมือที่พ่อบ้านหรือแม่บ้านใช้ในการหยิบจับวัตถุดิบอาหารเหล่านี้เองที่อาจจะนำมาซึ่งอันตรายต่อสมาชิกในบ้าน ทั้งนี้เนื่องจากบนผิวหนังของเราทุกคนนี้เองมีเชื้อโรคเกาะติดอยู่ตลอดเวลา โดยที่เชื้อโรคนี้มักจะพบแฝงตัวอยู่มากตามซอกหลืบเร้นลับต่าง ๆ ของร่างกายที่อาจจะไม่ได้รับการทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอหรือเพียงพอ หากขาดความระมัดระวังในเรื่องความสะอาด ก็มีโอกาสมากทีเดียวที่ระหว่างการเตรียมอาหาร มือที่ไม่ได้ล้างสะอาดเพียงพอ หรือบังเอิญล้วงแคะแกะเกา ก็ไปประกอบอาหารให้สมาชิกในบ้านเท่ากับเป็นความหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ไปแปะเชื้อโรคไว้ที่แซนวิช
ผลวิจัยเผย น้ำอัดลม
น้ำอัดลม 1 ขวด = วิ่ง 50 นาที (Lisa) เล่นเอาสาว ๆ ที่กลัวอ้วนไม่กล้าดื่มน้ำอัดลมกันไปเลยล่ะสิ เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ การศึกษาตีพิมพ์ใน American Journal of Public Health เปิดเผยว่า คนเรามักจะประเมินแคลอรีที่ตัวเองกินเข้าไปผิดพลาด และแทนที่อาหารจะติดฉลากอาหารว่ามีแคลอรีเท่าไหร่นั้น ฉลากที่เขียนว่าต้องวิ่งเพื่อเบิร์นพลังงานกี่นาทีจะได้ผลดีมากกว่า งานวิจัยค้นพบว่า วัยรุ่นกว่าครึ่งรู้สึกไม่อยากดื่มน้ำอัดลม หากได้เห็นฉลากเตือนว่า จะต้องออกกำลังกายด้วยการวิ่ง 1 ชั่วโมงต่อการดื่มน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง โดย ดร.ซาราห์ เบลช ผู้นำการวิจัยกล่าวว่า ผู้คนทั่วไปมักประเมินจำนวนแคลอรีที่ได้รับจากอาหารขยะต่ำไป แต่การเปรียบเทียบปริมานแคลอรีจากอาหารเป็นการออกกำลังกาย จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจง่ายขึ้น เช่น เปรียบจำนวนแคลอรีจากน้ำหวานเท่ากับการวิ่งกี่นาที นักวิจัยจาก Johns Hopkin’s Bloomberg School of Public Health ชี้ว่า แม้น้ำอัดลมจะมีแคลอรีสูง แต่ก็มีสารอาหารเป็นศูนย์ ดังนั้น สำหรับคนหนัก 55 กิโลกรัม อาจต้องใช้เวลาวิ่งถึง 50 นาทีในการเบิร์นน้ำอัดลม 20 ออนซ์ ส่วนคนหนัก 75 กิโลกรัมก็อาจต้องใช้เวลาถึง 40 นาที ...ไม่อยากคิดเลยว่าคนดื่มน้ำอัดลมทั้งวัน จะต้องวิ่งกี่ชั่วโมงกว่าจะเบิร์นหมด

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติวันวาเลนไทน์
วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโนซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุดในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีใจคอดุร้ายและทรงนิยมการทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็นความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทนแห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้องหลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะเป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคงแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความกล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมายของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

10 อันดับลูกอม ที่เชื่อว่า ไม่มีคนไหนอยากกินแน่นอเเค่ได้ยินชื่อก็จะอวกแล้ว
10Ear Wax Candy: อมยิ้มขี้หู
Ear Wax Candy: อมยิ้มขี้หู เชื่อว่าหลายๆท่านสมัยเป็นเด็กเคยแคะขี้มูกมากิน หรือบางท่านโตแล้วทำงานแล้วก็ยังมีนิสัยนี้อยู่? …. แต่ผมว่าคนที่ชอบแคะขี้หูมากินก็ยังมีน้อยกว่านะเพราะมันลำบากกว่าแคะขี้มูกมากเลย เพราะฉะนั้นมีคนเค้าอำนวยความสะดวกให้คุณแล้ว โดยที่อมยิ้มนี้มาในหีบห่อเป็นรูปหูอย่างดี มีไซรับอยู่ตรงกลางที่เปรียบเสมือนรูหู พร้อมด้วยแท่งพลาสติกที่ทำเหมือนไม้แคะหูเพื่อที่จะได้ให้อารมณ์ในการแคะขี้หูมากินสุดๆ วิธีกินก็ง่ายมากๆ เอาไม้ไปปั่นๆตรงไซรับแล้วก็เอามาดูดได้เลย…
9Candy Scrabs: ท็อปฟี่พลาสเตอร์ปิดแผล
Candy Scrabs: ท็อปฟี่พลาสเตอร์ปิดแผล เด็กซนคือเด็กฉลาด เพราะฉะนั้นเด็กในอเมริกาจึงซนกันเกือบทุกคน (จริงรึเปล่า อิอิ) ทำให้ทุกคนเวลาเล่นก็จะมีแผลถลอกปอกเปิก แล้วโดยนิสัยเด็กเวลาเลือดไหลซิบๆก็ชอบเลีย…คุณก็เป็นหรือเปล่า!!?... เพราะฉะนั้นหากรสชาติเลือดมันไม่อร่อยแต่คุณอยากจะเลียแผลแล้วจะทำยังไงหละ! โอวววว โรคจิตมากๆ…ก็ซื้อขนมนี้เลยแล้วกัน เอาไปติดที่แขน พอลอกพลาสเตอร์ออกมาก็จะมีเจลรสสตอเบอรี่ให้คุณเลียๆๆๆๆ
8Dubbel Zout: ยาไอซ์ปลอม
Dubbel Zout: ยาไอซ์ปลอม เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เราคงเคยเห็นเบียร์ปลอมของญี่ปุ่นกันแล้วที่จริงๆมันคือน้ำ apple ที่มีฟองเหมือนเบียร์ หรือของพี่ไทยเราที่มีหมากฝรั่งแมวดำที่ทำเหมือนบุหรี่ เพราะฉะนั้นในอนาคตถ้าจะติดยาไอซ์ก็ต้องฝึกกันตั้งแต่เด็กๆเลย! นี่คือยาไอซ์จำลอง ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือลูกอมรสชะเอมนั่นเอง แต่ทำให้มันดูเหมือนยาไอซ์ (เพื่ออะไรเนี่ย!?)
7Hotlix Candy: เลียไป เสียวไป
Hotlix Candy: เลียไป เสียวไป ที่เมืองไทยอมยิ้มแบบนี้เคยฮิตมาก่อนแต่ตอนนั้นจะเป็นหนอน นี่มาแนวใหม่เอาแมงป่องมายัดซะเลย ก็อยากรู้เหมือนกันจะมีซักกี่คนที่กล้าอมจนถึงตัวแมงป่อง อิอิ
6 Gorilla Boogers: ขี้มูกกอริล่าแสนอร่อย
Gorilla Boogers: ขี้มูกกอริล่าแสนอร่อย หีบ ห่ออันน่ารัก และแฝงไปด้วยความแปลกก็หนีไม่พ้นญี่ปุ่น นี่คือขนมขี้มูกกอริล่าซึ่งเปรียบกับของไทยก็จะมีลูกอมชื่อ ขี้ไคลจี้กง มีใครเคยได้ยินมั้ยเอ่ย? ทั้งสองอย่างก็ไม่ได้ทำมาจากของในชื่อมันจริงๆ ขี้มูกกอริล่านี้ทำมาจากถั่วดำตากแห้งนั้นเอง ลักษณะมันคงจะคล้ายเวลาเราเคี้ยวลูกเกด มันจะหนึบๆ หวานๆ อร่อยๆ คาดว่าเด็กญี่ปุ่นจะชอบกอริล่าพอสมควรโดยที่ไม่รู้จะผลิตอะไรมาเอาใจเลยทำ ขี้มูกออกมาขายซะเลย
5Ant Candy: ลูกอมมด
Ant Candy: ลูกอมมด ชิ้นนี้ก็เหมือนอมยิ้มแมงป่องข้างบน ตอนเคี่ยวน้ำตาลพอได้ที่ก็จับมดโยนๆลงไปในหม้อแล้วเอามาใส่แม่พิมพ์เอามาขายเรา….อิอิอิ แบบนี้นั่งบี้มดบนโต๊ะกินเล่นก็ได้ไม่ต้องไปเสียเงิน
4Jane-Jane Tasty Tuna tidbits: ลูกอมรสทูน่า
Jane-Jane Tasty Tuna tidbits: ลูกอมรสทูน่า หลังจากนั่งหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำลูกอมรสปลาทูน่ามาถึง 3 วัน ก็ยังคิดหาเหตุผลดีๆไม่ได้ว่าอะไรดลใจให้คนผลิตคิดจะทำลูกอมรสนี้ หรือจะเป็นเจ้าของโรงงานปลากระป๋องต้องการแตกไลด์สินค้า? ส่วนประกอบที่เขียนไว้ที่ห่อก็พื้นมากๆ ปลาทูน่า 30% น้ำตาล 70% จบ…
3Crick-Ettes: จิ้งหรีดเคลือบซาวครีมและหัวหอม
Crick-Ettes: จิ้งหรีดเคลือบซาวครีมและหัวหอม หลังจากมาเที่ยวเมืองไทยและได้ลองเมนูแมลงที่ถนนข้าวสารไป ไอเดียก็บรรเจิดทันทีเพราะแค่ฉีดแม็กกี้มันไม่อร่อยเท่าไหร่ เอาไปเคลือบซาวครีมและหัวหอมแล้วทำขายเลยดีกว่า ถูกปากฝรั่งกว่าเยอะ!!! หลังจากทำออกมาขาย ยอดขายก็ยังโดน Pringles ทิ้งแบบไม่เห็นฝุ่นอยู่ดี
2Durian Candy: ลูกอมทุเรียน
Durian Candy: ลูกอมทุเรียน มันน่าน้อยใจยิ่งนักที่ราชาแห่งผลไม้ของไทยเราได้มาอยู่อันดับที่ 2 ของโผลูกอมน่าขยะแขยง!!! มีนักวิจารณ์อาหารชาวต่างชาติวิจารณ์รสชาติของทุเรียนหมอนทองและก้านยาวไว้ว่า “เพียงแค่ได้กลิ่นก็เหมือนคุณได้กลิ่นขี้ของหมูที่เอาไป คลุกกับหัวหอมใหญ่เน่าแล้วเอาไปยัดลงถุงเท้าออกกำลังที่ไม่ได้ซักมา 3 เดือน!” เฮ้ย! มันขนาดนั้นเลยหรอ!!!
1Beanboozled: Jelly bean กลายพันธุ์
Beanboozled: Jelly bean กลายพันธุ์Jelly bean นี่เอง เมืองไทยก็มีขายให้เกลื่อน อร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง แต่ทำไมมันน่าขยะแขยงที่สุดนะหรอ!? อย่าดูถูกมันถ้าคุณแกะกล่องแล้วเพิ่งกินไปได้ 2-3 เม็ดเพราะทุกกล่องจะแฝงไปด้วยรสชาติพิเศษที่แสนจะชวนอ้วกแตก เช่น รสตดสกังค์, รสชีสเน่าเฟะ, รสกระดาษเช็ดก้นเด็กที่ใช้แล้ว, รสไข่เน่า, รสอ้วก ฯลฯ ขอหยุดตรงนี้ก่อนเพราะแทบอ้วกแล้วเนี่ย ขอบอกว่ารสชาติแปลกๆที่กล่าวมานี้ทำได้เหมือนมากๆ ไม่เชื่อลองชิมดู แต่อย่าถามว่าแล้วเค้าทำรสชาติพวกนี้ได้ยังไง!? เพราะคำตอบที่ได้อาจจะทำให้คุณกลืนไม่ลง หึหึ

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

แบงค์ 50 ใหม่

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท.กำหนดออกธนบัตรชนิดราคา 50 บาท รูปแบบใหม่ออกใช้ในวันที่ 18 ม.ค. นี้ และจะเริ่มทยอยออกรูปแบบใหม่อีก 4 ชนิด ราคาคือ 20 , 100 , 500 , และ 1,000 บาท ด้วยสำหรับภาพด้านหน้าธนบัตรทุกชนิดราคา ธปท.จะอัญเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ในฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีพรมราชวงศ์ เป็นภาพประธาน ส่วนภาพด้านหลังธนบัตรแต่ละชนิดจะเป็น เรื่องราวเฉลิมพระเกียรติที่แตกต่างกันออกไป ตามแนวคิดหลัก คือ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ไทย อีกทั้งยังต้องการปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ ธนบัตรให้มีความสวยงามทันสมัย มีความเป็นสากลมากขึ้น และเพื่อพัฒนาปรับปรุงให้ปลอมแปลงยาก สะดวกในการใช้งาน ตรวจสอบได้ง่าย ทั้งประชาชนทั่วไป และผู้พิการทางสายตาด้วยโดย


ธนบัตร 20 บาท เป็นภาพเรื่องราวเฉลิมพระเกียรติ พ่อขุนรามคำแหง


ธนบัตร 50 บาท เรื่องราวสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


ธนบัตร 100 บา เรื่องราวสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช


ธนบัตร 500 บาท เรื่องราวพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชขณะที่


ธนบัตร 1,000 บาท เรื่องราวพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช

สำหรับธนบัตรราคา 50 บาท ลายน้ำที่พระบรมฉายาทิสลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน และตัวเลขไทย “๕๐” ที่มีความโปร่งแสงพิเศษ ลายพิมพ์นูน นอกจากที่ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา ยังมีลักษณะสำหรับผู้พิการทางสายตา เป็นรูปดอกไม้สีน้ำเงินในแนวเฉียง 2 ดอก มาจากตัวเลข “5” ในอักษรเบรลล์ นอกจากนี้ยังมีแถบสีน้ำเงิน เป็นแถบพลาสติกเคลือบสีน้ำเงิน ที่ฝังไว้ในเนื้อกระดาษธนบัตรตามแนวยืน โดยมีบางส่วนปรากฎให้เห็นเป็นระยะที่ด้านหลังของธนบัตร สามารถเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีแดงได้เมื่อเปลี่ยนมุมมองอย่างไรก็ตาม สาเหตุที่เลือกธนบัตรชนิดราคา 50 บาทออกใช้ก่อน เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ และหากนำธนบัตรราคาอื่นออกใช้ก่อน ระบบต่างๆ ของธนาคารพาณิชย์อาจยังไม่พร้อมในการรองรับ

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

Pamplemousse et pomélo

Pamplemousse et pomélo, sont des noms vernaculaires ambigus qui désignent en français deux types de fruits dont les noms peuvent être confondus et qui proviennent de deux espèces différentes du genre Citrus, de la famille des Rutaceae. Ces fruits sont nommés commercialement « agrumes » à l'instar des citrons, oranges et mandarines :
Citrus maxima (aussi Citrus grandis ou Citrus decumana) est un arbre fruitier nommé pamplemoussier. Il est issu d'Asie du Sud-Est (Indonésie, Malaisie). Son fruit à l'écorce épaisse de couleur jaune, rosée ou verdâtre est une baie comestible, composée de 16 à 18 quartiers remplis de pépins.
Citrus ×paradisi est un hybride entre le pamplemoussier et l'oranger doux (Citrus maxima × Citrus sinensis). Son fruit, à l'écorce mince de couleur jaune ou rose est une baie comestible légèrement sucrée composée d'une douzaine de quartiers. Il pousse en grappes, d'où son nom anglais de « grapefruit ».
จัดอันดับประเทศ ที่มี ประชากรหน้าตาดี มากที่สุดในโลก ปี 2010
อันดับ 1 อิตาลี,อันดับ 2 อังกฤษ,อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา,อันดับ 4 ยูเครน,อันดับ 5 ฝรั่งเศส,อันดับ 6 แคนาดา, อันดับ 7 เยอรมัน,อันดับ 8 สวีเดน อันดับ 9 เซอร์เบีย,อันดับ 10 รัสเซีย, อันดับ 11 ออสเตเรีย, อันดับ 12 โปรตุเกส, อันดับ 13 เดนมาร์ก, อันดับ 14 สโลวาเกีย, อันดับ 15 โรมาเนีย, อันดับ 16 เวเนซูเอเล่า, อันดับ 17 นอร์เวย์, อันดับ 18 เช็ก, อันดับ 19 โครเอเชีย, อันดับ 20 ตุรกี, อันดับ 21 กรีซ, อันดับ 22 อิสราเอล, อันดับ 23 จอร์แดน, อันดับ 24 สเปน, อันดับ 25 บราซิล, อันดับ 26 สวิสเซอร์แลนด์, อันดับ 27 เบลเยี่ยม, อันดับ 28 เนเธอร์แลนด์, อันดับ 29 นิวซีแลนด์, อันดับ 30 เม็กซิโก, อันดับ 31 ญี่ปุ่น, อันดับ 32 ไต้หวัน, อันดับ 33 ไทย, อันดับ 34 ฮ่องกง, อันดับ 35 จีน, อันดับ 36 สิงค์โปร์, อันดับ 37 ภูฏาน, อันดับ 38 เกาหลี, อันดับ 39 เวียดนาม, อันดับ 40 อินเดีย, อันดับ 41 มาเลเซีย และ
อันดับ 42 ฟิลิปปินส์

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

เปิดเผยซิลิโคนบริษัทฝรั่งเศส ผสมสารเติมน้ำมันเชื้อเพลิง

สถานีวิทยุของฝรั่งเศสออกข่าวว่า ซิลิโคนที่ใช้ในการผ่าตัดเสริมเต้านม ผลิตโดยบริษัทโพลี อิมแพลนต์ โปรทีส ของฝรั่งเศส จำหน่ายให้ศัลยแพทย์ตามชาติต่างๆใช้กัน ใส่สารผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย โดยที่ไม่เคยทดสอบกันมาก่อนเลยข่าวกล่าวว่า สารนั้นคือ เบย์ซิโลน ใช้กันตามปกติในอุตสาหกรรมยางหรือน้ำมันเชื้อเพลิงทางทนายความของบริษัทผู้ผลิตได้ออกมาปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า สารนั้นไม่ได้ใช้ในวงการอุตสาหกรรม หากแต่ใช้ในการทำลิปสติก บริษัทแห่งนี้ก็ถูกสั่งปิดไปแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2553สถานีแจ้งต่อไปว่า นักวิจัยทางเคมีและพิษวิทยา ซึ่งได้ตรวจทุ่นหนุน ได้ยืนยันว่าบริษัทได้ใช้สารนั้นในการผลิต รวมทั้งสารซิโลเปรน และโรดอซิล ทำให้เจลซิลิโคนมีอัตราแตกสูงทางการฝรั่งเศสได้แนะนำให้สตรีที่เคยผ่าตัดหนุนทรวงอก ด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทนี้ ให้ผ่าตัดออกเสีย เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน เพราะมันมีอัตราแตกรั่วสูงอยู่ประมาณร้อยละ 5ข่าวกล่าวว่า คาดว่ามีสตรีชาติต่างๆ ส่วนใหญ่ในกลุ่มชาติละตินอเมริกันและยุโรป มากระหว่าง 300-40,000 คน ต่างก็ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ด้วย

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

อนาสตาเซีย เนื้อเรื่องย่อ
ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องยิ่งใหญ่ ที่นำเค้าโครงเรื่องมาจากประวัติศาสตร์ของรัสเซีย ผสมผสานการผจญภัยอันสนุกสนาน ตื่นเต้น โรแมนติก และบทเพลงอันไพเราะเมื่อดินแดนรัสเซียตกอยู่ใต้มนต์ดำของพ่อมดอันชั่วร้าย ธิดาองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์โรมานอฟนาม อนาสตาเชีย (เม็ก ไรอัน) ต้องหลบหนีภัยร้ายมาอยู่ในป่า เธอพบกับ ดิมิทรี (จอห์น คูแซ็ก) หนุ่มรูปงามผู้มีคุณธรรม ที่รับอาสาจะพาเธอไปปารีส เพื่อเรียกร้องสิทธิแห่งรัชทายาท แต่ตลอดการเดินทางองค์หญิงต้องผจญกับภัยร้ายจาก รัสปูติน (คริสโตเฟอร์ ลอยด์)จอมเจ้าเล่ห์ และ บาร์ท็อก (แฮงก์ อาซาเรีย) ค้างคาวลูกสมุนจอมชั่วร้าย องค์หญิงอนาสตาเชียผู้เลอโฉมจะกลับคืนสู่ราชบัลลังก์ได้หรือไม่