วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554



เป็นข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ?

จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และ ไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วงที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน

ขณะ ที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง


นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ

จาก นั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย

ทั้ง นี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แฟรงเกนสไตน์

แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein; หรืออีกชื่อหนึ่ง The Modern Prometheus) เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่ง เขียนโดย แมรี เชลลีย์ จัดพิมพ์ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2360 (ค.ศ. 1818) (แต่เริ่มนิยมอ่านกันมากในฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2374) โดยในเรื่อง มีส่วนผสมของนิยายสยองขวัญ และ ความรัก
เนื้อเรื่องของแฟรงเกนสไตน์มีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้ไปศึกษาที่เยอรมนี เขาสนใจในเรื่องการใช้ไฟฟ้ากับร่างกายของมนุษย์ จึงนำชิ้นส่วนจากศพหลายๆ ศพ มาเย็บเข้าด้วยกันและช็อตด้วยไฟฟ้า ทำให้ซากศพนั้นมีชีวิตขึ้นมา เป็นอสุรกายที่มีร่างกายใหญ่โต แต่เมื่ออสุรกายนั้นมีชีวิต วิคเตอร์ก็เกิดกลัวอสุรกายนั้นขึ้นมา จึงได้หนีไปและทิ้งให้อสุรกายตนนั้นมีชีวิตอย่างเดียวดาย โดยไม่ยอมรับมัน อสุรกายจึงขอร้องให้วิคเตอร์สร้างอสุรกายแบบมันขึ้นมาอีก 1 ตน แต่วิคเตอร์ก็ไม่ยอม มันจึงเริ่มฆ่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิคเตอร์เพื่อให้วิคเตอร์รับรู้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวบ้าง จนวิคเตอร์เสียชีวิต อสุรกายก็เสียใจมาก และกระโดดน้ำตายตามวิคเตอร์ไป
ประเทศตุรกี

ตุรกี (อังกฤษ: Turkey; ตุรกี: Türkiye ตืร์กีเย) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) เป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในบริเวณเธรซ บนคาบสมุทรบอลข่านในยุโรปตอนใต้ และคาบสมุทรอานาโตเลียในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกอานาโตเลียและแทรสออกจากกันคือทะเลมาร์มารา และช่องแคบตุรกี (ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลส) ซึ่งมักถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในหลายทวีป

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Marie Curie

"Madame Curie" redirects here. For the 1943 biographical film about her, see Madame Curie (film).
This article is about the chemist and physicist. For the schools named after her, see
École élémentaire Marie-Curie and Marie Curie High SchoolMarie Skłodowska-Curie (7 November 1867 – 4 July 1934) was a Polish-French physicist and chemist famous for her pioneering research on radioactivity. She was the first person honored with two Nobel Prizes[1]—in physics and chemistry. She was the first female professor at the University of Paris, and in 1995 became the first woman to be entombed on her own merits in the Panthéon in Paris.[2]
She was born Maria Salomea Skłodowska (IPA: 'marja salɔ'mɛa skwɔ'dɔfska) in Warsaw, in what was then the Kingdom of Poland, and lived there until the age of 24. In 1891, she followed her older sister Bronisława to study in Paris, where she earned her higher degrees and conducted her subsequent scientific work. She shared her 1903 Nobel Prize in Physics with her husband Pierre Curie and with the physicist Henri Becquerel. Her daughter Irène Joliot-Curie and son-in-law, Frédéric Joliot-Curie, would similarly share a Nobel Prize. She was the sole winner of the 1911 Nobel Prize in Chemistry. Skłodowska-Curie was the first woman to win a Nobel Prize, the only woman to date to win in two fields, and the only person to win in multiple sciences.
Her achievements included a theory of
radioactivity (a term that she coined[3]), techniques for isolating radioactive isotopes, and the discovery of two elements, polonium and radium. Under her direction, the world's first studies were conducted into the treatment of neoplasms, using radioactive isotopes. She founded the Curie Institutes in Paris and Warsaw, which remain major centres of medical research today.
While an actively loyal French citizen, Skłodowska-Curie (she used both
surnames) never lost her sense of Polish identity. She taught her daughters the Polish language and took them on visits to Poland. She named the first chemical element that she discovered – polonium, which she first isolated in 1898 – after her native country.[4] During World War I she became a member of the Committee for a Free Poland (Komitet Wolnej Polski).[5] In 1932, she founded a Radium Institute (now the Maria Skłodowska–Curie Institute of Oncology) in her home town, Warsaw, headed by her physician-sister Bronisława. Curie died in 1934 of aplastic anemia brought on by her years of exposure to radiation.

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)
สาวๆ คนไหนอยากมีสุขภาพ ขอบอกว่าไม่ยากเลยค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำตามได้ง่ายๆ มาฝากกัน

-ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้การขับถ่ายดีแล้ว ยังช่วยลดปริมาณอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อได้อีกด้วย
-สำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้ ขอแนะนำให้ดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาลนะคะ เพราะจะช่วยลดความอยากอาหารลง แถมยังส่งผลให้น้ำหนักเราคงที่ในระยะยาวอีกด้วยนะ
-กินอาหารธัญพืชเต็มรูป อย่างเช่นข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ แทนข้าวขัดสี เพราะอาหารพวกนี้จะมีไฟเบอร์ช่วยให้การขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วยค่ะ
-รู้หรือไม่ว่า วิตามินเอ บี ซี และ อี จากผักผลไม้และธัญพืชเต็มรูป สามารถช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันดี ทำให้ไม่เป็นภูมิแพ้ง่าย
-ถั่วแห้ง เมล็ดพืช และวอลนัท อาหารเหล่านี้จะมีวิตามินอีอยู่ ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวสำคัญทีเดียวละ โดยเฉพาะถั่ววอลนัท จะมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ และโอเมก้า 3 สูงมากๆ ด้วย
-ในผงโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในชาเขียวและไวน์แดง เพราะฉะนั้นหากสาวไหนที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำ ควรหันมาดื่มโกโก้แทนได้แล้ว ถ้ายังอยากให้หน้าใสอ่อนกว่าวัยอยู่
-ผลไม้สีเข้มจัดๆ หรือผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยบำรุงผิวพรรณและมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอย่างดี
-หากอยากจะลดน้ำหนัก ควรลดอาหารประเภทไขมันให้น้อยที่สุด ฉะนั้นในแต่ละวันควรกินคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 70% โปรตีน 20% และไขมัน 10%
วันลอยกระทง


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้าย
ดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย