วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554


วันขึ้นปีใหม่


วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือน ก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี
ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า
ปีอธิกสุรทิน
เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน
และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันวสันตวิษุวัติ (Equinox in March)
แต่ในปี พ.ศ. 2125 วันวสันตวิษุวัติ กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น
สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรโกเรียน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้น

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ญี่ปุ่นผุด "แฮมเบอร์เกอร์" ทำจาก "ขี้"

ปัจจุบันอัตราการเพิ่มประชากรทั่วโลกต่อปีอยู่ที่ 130 ล้านคน (เฉลี่ย 4 คนต่อวินาที) นั่นหมายความว่า ความต้องการในการบริโภคก็จะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทรัพยากรบนโลกก็อาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภคก็เป็นได้ เทคโนโลยีส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลผลิตต่างๆ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และเติบโตรวดเร็วทันต่อความต้องการดังกล่าว


อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งกำลังมองว่า วิธีดังกล่าวก็อาจจะยังไม่ทันต่อความต้องการบริโภคในอนาคต การรีไซเคิลจึงเป็นอีกทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นรายนี้ มุ่งประเด็นไปที่ของเสียที่ร่างกายขับถ่าย (อุนจิ - -") ซึ่งเขาพบว่า มันมีส่วนประกอบของสารอาหารที่สามารถนำมารีไซเคิล เพื่อนำกลับมาทำเป็นอาหารที่รับประทานได้ : ล่าสุดที่มีวิจัยได้สังเคราะห์"เนื้อเทียม"จากอุนจิ เพื่อนำมาใส่ในแฮมเบอร์เกอร์ และใช้รับประทานได้


Mitsuyuki Ikeda นักวิจัยจากศูนย์ประเมินสถานการณ์สภาพแวดล้อมในโอกายามา เขามีความต้องการที่จะช่วยแก้วิกฤติปัญหาการขาดแคลนอาหารที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ ด้วยการีไซนเคิล"อุนจิ" เพื่อเปลี่ยนไปเป็นเบอร์เกอร์ที่รับประทานได้ โดยเนื้อที่ได้จะไม่เหมือนเนื้อจริงๆ แต่เป็นการแยกส่วนประกอบจากของเสีย ซึ่งประกอบด้วย โปรตีน 63% คาร์โบไฮเดรท 3% สารอินทรีย์ประเภทไขมัน และเกลือแร่ 9% ซึ่ง Ikeda เรียกสารตั้งต้นในการรีไซเคิลเป็นอาหารนี้ว่า "sewage mud" (โคลนปฏิกูล) ฟังดูดีกว่าเดิมนิดนึง พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ตอนนี้เขาเก็บ อุนจิ เอ่อ...ไม่ใช่สิต้องเรียกว่า โคลนปฏิกูลของเขาเอาไว้ เผื่อว่า วันหนึ่งมันจะกลายเป็นของขายได้ หากต้นทุนการผลิตเนื้อเทียมจากอุนจิลดลง เอ่อ...คุณผู้อ่านล่ะ คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ถ้าเป็นจริง...คุณจะกล้ารับประทาน หรือไม่?

แม้ว่าในปีนี้เครื่องดนตรีที่ชื่อ อูคูเลเล่ จะกลายมาเป็นเครืองดนตรียอดฮิตของกลุ่มคนชอบดนตรีแต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้จัก บางคนก็ยังงวยงงสงสัยว่าทำไมเจ้ากีตาร์ชนิดนี้มันถึงได้เล็กกระจิดริด แถมยังมีแค่สี่สายเท่านั้นแน่นอนเรากำลังจะพูดถึงเจ้าเครื่องดนตรีที่เรียกกันว่า อูคูเลเล่ เจ้ากีตาร์จิ๋วจากดินแดนฮาวาย ที่มีลักษณะเสียงกังวานสดใสราวกับเสียงคลื่นซัดหาดทราย เราอาจจะคุ้นตากันบ้างในเป็นภาพยนตร์เพลงที่ถ่ายทำในบรรยากาศชายทะเลหลายต่อหลายเรื่อง รวมทั้งในมิวสิควิดีโอที่ปัจจุบันนี้เพลงไทยก็ยังนำเครื่องดนตรีชนิดนี้มาบรรเลงเยอะแยะมากมายจากข้อมูลในวิกิพีเดียบอกว่า เจ้าอู1เล หรือ ukulele มีกำเนิดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยชาวฮาวายซึ่งนำเอากีตาร์น้อย ประเภท กาวักกีโญ (cavaquinho) กับราเคา (rajão) มาประสมกัน กีตาร์น้อยทั้งสองนี้ชาวโปรตุเกสซึ่งอพยพเข้ามาในสหรัฐอเมริกาได้นำมาสู่ฮาวายในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 อู1เลเลได้รับความนิยมเป็นอันมากภายนอกสหรัฐอเมริกา และนับจากนั้นก็แพร่หลายทั่วไปแนวและระดับเสียงของอู1เลเลนั้นแล้วแต่ขนาดและโครงสร้างของมัน ซึ่งปรกติมักทำเป็นสี่ขนาด คือ โซปราโน,กงแซร์, เทอเนอร์ และแบริโทนในเมืองไทยนั้นยังไม่มีนักดนตรีที่ออกมาประกาศว่าเป็น “เซียนอูคูเลเล่” ให้เห็นประจักษ์กันเท่าไดนัก

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รับมือกับอากาศเปลี่ยนแปลง

อาการเหนื่อยเพลียเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงไม่ใช่โรค แต่คนจะรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายกำลังปรับตัวกับอากาศที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ ดร.ฟรัง เฟ็กเทเลอร์ แพทย์ชาวเยอรมัน จากเมืองเบอร์ลิน กล่าวว่า เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง ร่างกายเราต้องการเวลาในการปรับตัวประมาณ 2-3 สัปดาห์ ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ไวกับอากาศเปลี่ยนแปลงก็คือ


1. เข้านอนเร็วขึ้น เพื่อจะได้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

2. ดื่มน้ำให้มาก เนื่องจากความดันโลหิตต่ำ จะทำให้ง่วงเพลีย และการขาดน้ำก็ทำให้มีอาการดังกล่าวเหมือนกัน

3. ออกกำลังกาย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีที่สุด การออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง เช่น จ็อกกิ้ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือหากมีเวลาเมื่อตื่นนอนก็ควรยืดเส้นยืดสายบนเตียงนอนก่อนลุกขึ้นทำกิจธุระ

4. อาบน้ำเย็นสลับน้ำอุ่น หากจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า งัวเงีย ไม่อยากขยับตัวเลย ลองอาบน้ำเย็นๆ ก่อน รับรองว่าจะตาสว่างทันที หรือราดน้ำเย็นที่แขนและขาเท่านั้นก็ได้นะ

5. กินอาหารย่อยง่าย ไม่ควรกินอาหารย่อยยาก เพราะมันจะเป็นภาระแก่ร่างกาย

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

๕ ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ

พ่อ ความหมายตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน หมายถึง ชายผู้ให้กำเนิดแก่ลูกหรือ คำที่ลูกเรียกชายที่ให้กำเนิดหรือเลี้ยงดูตนดังนั้น พ่อจึงเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อลูก ครอบครัวและสังคม จึงสมควรที่จะยกย่องให้เกียรติ รำลึกถึงพระคุณของผู้เป็นพ่อ รวมถึงต้องแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้เป็นพ่อ อีกทั้งเพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่ และความรับผิดชอบของตน ที่พึงมีต่อครอบครัว สังคม และประเทศชาติ จึงได้กำหนดให้วันที่ ๕ ธันวาคม เป็นวันพ่อแห่งชาติเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะพ่อของปวงชนชาวไทย วันพ่อ ได้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษา เป็นผู้ริเริ่ม

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554



เป็นข้อสงสัยที่วัยเรียนส่วนใหญ่อยากไขคำตอบ กับคำถาม เวลาไหนเหมาะสำหรับการทบทวนหนังสือ?

จะสังเกตว่า เมื่อความคิดของน้อง ๆ นิ่ง และ ไม่ฟุ้งซ่านกับเรื่องใด นั่นคือช่วงที่ควรหยิบหนังสืออ่าน และจดจำเนื้อหาที่สุด ดังนั้น ยามเช้าหลังตื่นนอนก็ดี หรือแม้กระทั่งก่อนนอน ซึ่งพักผ่อนมาแล้วพอสมควร ก็เหมาะเช่นกัน

ขณะ ที่ สภาพแวดล้อมในห้องยังสำคัญต่อการเรียนรู้ด้วย โดยการอ่านกับไฟสลัว ๆ ดวงตาจะทำงานหนัก เมื่อยล้าเร็ว จึงควรจัดแสงสว่างให้เพียงพอ นอกจากนั้น บรรยากาศที่สงบเงียบ ยังช่วยให้คิดได้เร็ว และมีสมาธิสูง


นอกจากนี้ ยังมีตัวช่วยคลายความงัวเงียอย่างถาวร ด้วยการตั้งเวลาตื่นที่แน่นอนเป็นประจำ เมื่อร่างกายคุ้นเคยจะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกอีกต่อไป ทั้งยังตื่นด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มด้วย ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้ง่ายต่อการจัดเวลาอ่านหนังสือ

จาก นั้น ดื่มน้ำเปล่า ทำสมองปลอดโปร่ง พร้อมเปิดรับข้อมูล แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร แนะนำน้ำขิงอุ่น จิบปลุกความสดชื่น เรียกความกระปรี้กระเปร่าได้ หรือกระตุ้นร่างกายให้ตื่น โดยยืดเส้นยืดสายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ไหล่ แขน และฝ่ามือ ประมาณ 5-10 นาที เท่านี้ก็นั่งหลังตรงทบทวนหนังสือกันได้เลย

ทั้ง นี้ เพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ น้อง ๆ ควรหมั่นปฏิบัติสม่ำเสมอ เพราะการค่อย ๆ สะสมความเข้าใจ จะช่วยให้สมองจดจำเนื้อหาเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาสอบ จะสามารถดึงความรู้นั้นออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

แฟรงเกนสไตน์

แฟรงเกนสไตน์ (Frankenstein; หรืออีกชื่อหนึ่ง The Modern Prometheus) เป็นนวนิยายยอดนิยมเรื่องหนึ่ง เขียนโดย แมรี เชลลีย์ จัดพิมพ์ครั้งแรก ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2360 (ค.ศ. 1818) (แต่เริ่มนิยมอ่านกันมากในฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2374) โดยในเรื่อง มีส่วนผสมของนิยายสยองขวัญ และ ความรัก
เนื้อเรื่องของแฟรงเกนสไตน์มีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ วิคเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ได้ไปศึกษาที่เยอรมนี เขาสนใจในเรื่องการใช้ไฟฟ้ากับร่างกายของมนุษย์ จึงนำชิ้นส่วนจากศพหลายๆ ศพ มาเย็บเข้าด้วยกันและช็อตด้วยไฟฟ้า ทำให้ซากศพนั้นมีชีวิตขึ้นมา เป็นอสุรกายที่มีร่างกายใหญ่โต แต่เมื่ออสุรกายนั้นมีชีวิต วิคเตอร์ก็เกิดกลัวอสุรกายนั้นขึ้นมา จึงได้หนีไปและทิ้งให้อสุรกายตนนั้นมีชีวิตอย่างเดียวดาย โดยไม่ยอมรับมัน อสุรกายจึงขอร้องให้วิคเตอร์สร้างอสุรกายแบบมันขึ้นมาอีก 1 ตน แต่วิคเตอร์ก็ไม่ยอม มันจึงเริ่มฆ่าคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิคเตอร์เพื่อให้วิคเตอร์รับรู้ความรู้สึกของความโดดเดี่ยวบ้าง จนวิคเตอร์เสียชีวิต อสุรกายก็เสียใจมาก และกระโดดน้ำตายตามวิคเตอร์ไป
ประเทศตุรกี

ตุรกี (อังกฤษ: Turkey; ตุรกี: Türkiye ตืร์กีเย) หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี (Republic of Turkey) เป็นประเทศที่มีดินแดนทั้งในบริเวณเธรซ บนคาบสมุทรบอลข่านในยุโรปตอนใต้ และคาบสมุทรอานาโตเลียในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ตุรกีมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน มีพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ ส่วนที่แยกอานาโตเลียและแทรสออกจากกันคือทะเลมาร์มารา และช่องแคบตุรกี (ช่องแคบบอสฟอรัสและช่องแคบดาร์ดาเนลเลส) ซึ่งมักถือเป็นพรมแดนระหว่างทวีปเอเชียกับยุโรป จึงทำให้ตุรกีเป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในหลายทวีป

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Marie Curie

"Madame Curie" redirects here. For the 1943 biographical film about her, see Madame Curie (film).
This article is about the chemist and physicist. For the schools named after her, see
École élémentaire Marie-Curie and Marie Curie High SchoolMarie Skłodowska-Curie (7 November 1867 – 4 July 1934) was a Polish-French physicist and chemist famous for her pioneering research on radioactivity. She was the first person honored with two Nobel Prizes[1]—in physics and chemistry. She was the first female professor at the University of Paris, and in 1995 became the first woman to be entombed on her own merits in the Panthéon in Paris.[2]
She was born Maria Salomea Skłodowska (IPA: 'marja salɔ'mɛa skwɔ'dɔfska) in Warsaw, in what was then the Kingdom of Poland, and lived there until the age of 24. In 1891, she followed her older sister Bronisława to study in Paris, where she earned her higher degrees and conducted her subsequent scientific work. She shared her 1903 Nobel Prize in Physics with her husband Pierre Curie and with the physicist Henri Becquerel. Her daughter Irène Joliot-Curie and son-in-law, Frédéric Joliot-Curie, would similarly share a Nobel Prize. She was the sole winner of the 1911 Nobel Prize in Chemistry. Skłodowska-Curie was the first woman to win a Nobel Prize, the only woman to date to win in two fields, and the only person to win in multiple sciences.
Her achievements included a theory of
radioactivity (a term that she coined[3]), techniques for isolating radioactive isotopes, and the discovery of two elements, polonium and radium. Under her direction, the world's first studies were conducted into the treatment of neoplasms, using radioactive isotopes. She founded the Curie Institutes in Paris and Warsaw, which remain major centres of medical research today.
While an actively loyal French citizen, Skłodowska-Curie (she used both
surnames) never lost her sense of Polish identity. She taught her daughters the Polish language and took them on visits to Poland. She named the first chemical element that she discovered – polonium, which she first isolated in 1898 – after her native country.[4] During World War I she became a member of the Committee for a Free Poland (Komitet Wolnej Polski).[5] In 1932, she founded a Radium Institute (now the Maria Skłodowska–Curie Institute of Oncology) in her home town, Warsaw, headed by her physician-sister Bronisława. Curie died in 1934 of aplastic anemia brought on by her years of exposure to radiation.

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ

1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)
สาวๆ คนไหนอยากมีสุขภาพ ขอบอกว่าไม่ยากเลยค่ะ เพราะเรามีเคล็ดลับดีๆ ที่ทำตามได้ง่ายๆ มาฝากกัน

-ดื่มน้ำเยอะๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้การขับถ่ายดีแล้ว ยังช่วยลดปริมาณอาหารที่เรากินในแต่ละมื้อได้อีกด้วย
-สำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำผลไม้ ขอแนะนำให้ดื่มแบบไม่ใส่น้ำตาลนะคะ เพราะจะช่วยลดความอยากอาหารลง แถมยังส่งผลให้น้ำหนักเราคงที่ในระยะยาวอีกด้วยนะ
-กินอาหารธัญพืชเต็มรูป อย่างเช่นข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ แทนข้าวขัดสี เพราะอาหารพวกนี้จะมีไฟเบอร์ช่วยให้การขับถ่ายดี อีกทั้งยังช่วยให้น้ำหนักตัวคงที่ด้วยค่ะ
-รู้หรือไม่ว่า วิตามินเอ บี ซี และ อี จากผักผลไม้และธัญพืชเต็มรูป สามารถช่วยให้ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันดี ทำให้ไม่เป็นภูมิแพ้ง่าย
-ถั่วแห้ง เมล็ดพืช และวอลนัท อาหารเหล่านี้จะมีวิตามินอีอยู่ ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ตัวสำคัญทีเดียวละ โดยเฉพาะถั่ววอลนัท จะมีกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ และโอเมก้า 3 สูงมากๆ ด้วย
-ในผงโกโก้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าในชาเขียวและไวน์แดง เพราะฉะนั้นหากสาวไหนที่ชอบดื่มชาหรือกาแฟเป็นประจำ ควรหันมาดื่มโกโก้แทนได้แล้ว ถ้ายังอยากให้หน้าใสอ่อนกว่าวัยอยู่
-ผลไม้สีเข้มจัดๆ หรือผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยบำรุงผิวพรรณและมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นอย่างดี
-หากอยากจะลดน้ำหนัก ควรลดอาหารประเภทไขมันให้น้อยที่สุด ฉะนั้นในแต่ละวันควรกินคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 70% โปรตีน 20% และไขมัน 10%
วันลอยกระทง


วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้าย
ดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันฮาโลวีน

วันฮาโลวีน เป็นงานฉลองในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ประเทศทางตะวันตก เด็กๆ จะแต่งกายเป็นภูตผีปีศาจพากันชักชวนเพื่อนฝูงออกไปงานฉลอง มีการประดับประดาแสงไฟ และที่สำคัญคือแกะสลักฟักทองเป็นโคมไฟ เรียกว่า แจ๊ก-โอ'-แลนเทิร์น (jack-o'-lantern)
การฉลองวันฮาโลวีนนิยมจัดกันใน
สหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร แคนาดา และยังมีในออสเตรเลีย กับนิวซีแลนด์ด้วย รวมถึงประเทศอื่นในทวีปยุโรปก็นิยมจัดงานวันฮาโลวีนเพื่อความสนุกสนาน

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โครงการแท็กซี่สีชมพูในเม็กซิโก

โครงการแท็กซี่สีชมพูในเม็กซิโก (เดลินิวส์)
รัฐ “ปวยบลา” ของเม็กซิโก ไอเดียบรรเจิด จัดทำโครงการรถแท็กซี่สีชมพูที่มีผู้หญิงเป็นคนขับ ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่เป็นสุภาพสตรีเท่านั้น

เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสำหรับคุณสุภาพสตรี ที่ไม่ปรารถนาจะขึ้นไปใช้บริการรถแท็กซี่สาธารณะที่มีคนขับเป็นผู้ชาย เนื่องจากเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติผู้หญิงของพวกผู้ชาย รัฐบาลท้องถิ่นรัฐ “ปวยบลา”ของเม็กซิโก จึงได้จัดทำโครงการบริการรถแท็กซี่สาธารณะ มีชื่อโครงการว่า “Pink taxi”หรือ “แท็กซี่สีชมพู” มีคนขับเป็นผู้หญิงเท่านั้น โดยสุภาพสตรีที่ต้องการจะใช้บริการโครงการนี้ ก็สังเกตง่าย ๆ คือ รถแท็กซี่จะเป็นสีชมพู และคนขับต้องเป็นผู้หญิงในชุดสีชมพูเท่านั้น ที่สำคัญคือผู้หญิงที่ขับรถแท็กซี่สีชมพูในโครงการนี้ มีจำนวน 35 คนเท่านั้น
“แท็กซี่สีชมพู” ถือเป็นโครงการที่แปลกใหม่ของรัฐ “ปวยบลา” ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตรถยนต์โฟล์คสวาเกนในเม็กซิโก และกำลังเป็นเมืองที่กำลังได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวด้วย
โครงการนี้เริ่มให้บริการในรัฐ “ปวยบลา” ห่างจากกรุงแม็กซิโก ซิตี้ ไปทางตะวันออกประมาณ 128 กิโลเมตร เพื่อเน้นความปลอดภัย และไว้วางใจได้สำหรับผู้หญิงที่พยายามจะหลีกหนีคนขับรถแท็กซี่ผู้ชาย ที่มีพฤติกรรมไม่ให้เกียรติเพศแม่

Bruno Mars

Peter Gene Hernandez (born October 8, 1985), better known by his stage name Bruno Mars, is an American singer-songwriter andrecord producer. Raised in Honolulu, Hawaii by a family of musicians, Mars began making music at a young age. After performing in various musical venues in his hometown throughout his childhood, he decided to pursue a musical career and moved to Los Angeles after graduating from high school. Mars began producing songs for other artists, joining production team The Smeezingtons.
After an unsuccessful stint with
Motown Records, Mars signed with Atlantic Records in 2009. He became recognized as a solo artist after lending his vocals and co-writing the hooks for the songs "Nothin' on You" by B.o.B, and "Billionaire" by Travie McCoy. He also co-wrote the hits "Right Round" by Flo Rida featuring Ke$ha, and "Wavin' Flag" by K'naan. In October 2010, he released his debut album, Doo-Wops & Hooligans. Anchored by the worldwide number one singles "Just the Way You Are" and "Grenade", the album peaked at number three on theBillboard 200.[2] He was nominated for seven Grammys at the 53rd Grammy Awards, winning Best Male Pop Vocal Performance for "Just the Way You Are".
Mars' music is noted for displaying a wide variety of styles and influences, and contains elements of many different musical genres. He has worked with an assortment of artists from different genres; Mars acknowledges the influences that his collaborations have had on his own music. As a child, he was highly influenced by artists such as
Elvis Presley and Michael Jackson and would often impersonate these artists from a young age. Mars also incorporates reggae and Motown inspired sounds into his work. Jon Caramanica of The New York Timesreferred to Mars as "one of the most versatile and accessible singers in pop.

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โบราณสถานวัดน้อย วัดที่เล็กที่สุดในเมืองไทย

วัดน้อยตั้งอยู่ใต้ร่มโพธิ์ ในบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ถือได้ว่าเป็นวัดที่เล็กที่สุดในเมืองไทย อ่านประวัติความเป็นมาแล้วท่านเจ้าเมืองน่าน ก็ตั้งใจสร้างขึ้นมาให้เป็นวัดจริงๆ อย่าเข้าใจผิดว่านี้เป็นศาลพระภูมิเชียวล่ะครับ
ประวัติความเป็นมา จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมา เชื่อว่าพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 63 กราบบังคมทูล ถึงจำนวนวัดในเมืองน่านต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 แต่ปรากฏว่านับจำนวนวัดเกินไป หนึ่งวัด จึงได้สร้างวัดน้อยแห่งนี้ขึ้นมา ให้ครบตามจำนวนที่กราบบังคมทูลไป พระองค์เข้าเฝ้ารัชการที่5 เพียงครั้งเดียว ใน พ.ศ.2416 วัดน้อยคงสร้างหลังจากนั้น
รูปทรงของวัดเป็นวิหารก่ออิฐถือปูน ขนาดกว้าง 1.98 เมตร ยาว 2.34 เมตร สูง 3.35 เมตร แบบศิลปะล้านนา สกุลช่างน่าน มีพระพุทธรูปแผงพระพิมพ์ไม้ ประดิษฐานอยู่ภายใน เชื่อว่าเป็นวันที่เล็กที่สุดในประเทศไทย

รับแสงแดดอ่อนๆรับแสงแดดอ่อนๆ มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า


วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นักเต้น เเซมบ้า ชิลี คึกคัก ร่วมงานเทศกาลประจำปี
หนุ่มสาว ชาวเมือง วอลปาไรโซ ประเทศอชิลี ร่วมกันทำกิจกรรม การเต้นเเซมบ้า ในเทศกาล คาร์นิวัลประจำปี

ซึ่งปีนี้สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเเละผู้คนให้มาร่วมฉลอง เทศกาล คาร์นิวัล เเห่งนี้คือ ศิลปินได้เพ้นลายต่างๆบนร่างกาย ในลวดลายต่างๆ โดยส่วนใหญ่เปลือยหน้าอก เเล้วทำบอดี้ เพ้น ทั่วทั้งตัวเป็นสีสันของงาน

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554



สระว่ายน้ำที่ประเทศจีนคนเล่นเยอะที่สุด O_O


วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554


5อันดับบุคคลอายุน้อย ที่เป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดของโลก


1. มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก – Mark Zuckerberg


อายุ : 25 ปี
ชาวสหรัฐอเมริกา
ทรัพย์สินสุทธิ: 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.2 ล้านล้านบาท)
รวยจากอินเตอร์เน็ต ด้วยการสร้างเว็บไซท์เครือข่ายทางสังคม Facebook ในห้องนอนที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดในปี 2004 (แปลว่าใช้เวลา 6 ปี ในการรวยแบบนี้)


2. จอห์น อาร์โนล์ด - John Arnold

อายุ : 36 ปี
ชาวสหรัฐอเมริกา
ทรัพย์สินสุทธิ: 4 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.2 ล้านล้านบาท)
รวย จากการค้าขายพลังงาน ทำงานกับ บริษัทเอ็นรอน และได้ก่อตั้งกองทุนพลังงานเซ็นทัวรัส เมื่อปี 2002 ภายหลัง เอ็นรอน ล้มละลาย



3. หยาง ฮุยหยาน – Yang Huiyan

อายุ : 28 ปี
ชาวจีน
ทรัพย์สินสุทธิ: 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Country Holding Garden ซึ่งดำเนินงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เธอรวยจากการได้รับหุ้นของพ่อเธอ



4. อัลเบิร์ต วอน เทิร์น อุน เทกซิส Albert von Thurn und Taxis

อายุ : 26 ปี
ชาวเยอรมัน
ทรัพย์สินสุทธิ: 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์
รวยจากการรับมรดก ในวันเกิดอายุ 18 ปีของเขา เขาอาศัยอยู่ในปราสาท Schloss Emmeram



5. ฟาฮัด ฮารีรี Fahd Hariri

อายุ : 29 ปี
ชาวเลบานอน
ทรัพย์สินสุทธิ: 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
รวยจากธุรกิจก่อสร้าง และการลงทุน เขาเป็นลูกชายคนเล็กของนายกรัฐมนตรี ราฟิก ฮารีรี และเป็นผู้สืบทอดกิจการก่อสร้าง โทรคมนาคม และทัพย์สินต่างๆ จากพ่อของเขา
กราฟฟิตี้นิตติ้ง




"กราฟฟิตี้ นิตติ้ง“ (Graffiti Knitting)หรือ "ยาร์น บอมบิ้ง" (Yarn Bombing) คืองานฝีมือของคนรักการถักเข้าเส้นเลือด เป็นการประยุกต์งานฝีมืออย่างการถักนิตติ้งและโครเชต์ รวมถึงการถักเชือกด้วยมือ มาทำเป็นลายถักสวยๆ เก๋ๆ ไอเดียของแต่ละคน

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

จระเข้ ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก


Yai เจ้าใหญ่ คือ จระเข้ ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก เจ้าใหญ่เป็นจระเข้เลี้ยง ของ ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ โดยเจ้าใหญ่ได้ถูกบันทึกลงในกินเน็สบุ๊กว่าเป็น จระเข้ ที่ ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2000 และเป็นวันฉลองวันเกิดปีที่ 28 ของมันด้วยไก่สด และปลา เจ้าใหญ่เป็นเจ้าของสัดส่วน ความยาว 6 เมตร น้ำหนัก 1,114 กิโลกรัม

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554


วิธีพักสายตาเมื่อเล่นคอมนานๆ ไม่พักระวังตาบอด!!!

เมื่อเกิดมาในยุคที่อะไรๆก็ใช้คอมพิวเตอร์ อย่างผมนี้ก็เหมือนกันนะเช้าคอมบ่ายคอมเย็นวิธีพักสายตาเมื่อเล่นคอมนานๆก็เลยต้องรู้เอา บางทีความฟิตของเรามันก็ถึงนะแต่สายตาของเราไม่อาจจะไม่ไหว แล้วถ้าถึกใช้ตานานๆอาจจะทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว วิธีพักสายตาเมื่อเวลาเล่นคอมก็เลยต้องรู้เอาไว้ประดับสมองกันบ้าง

คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา

1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที

2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว

3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%

4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554




เว็บไซด์ Nintendo ญี่ปุ่น ได้ออกมาเตือนว่า เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ หากจะเล่นเครื่องเกมส์ Nintendo 3DS จะต้องอยู่ในการดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ กำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาการทางด้านสายตา และการมองเห็น ซึ่งการดูภาพ 3 มิตินานๆ อาจส่งผลกระทบการต่อการพัฒนาการด้านนี้ และเมื่อเด็กเล็กที่อายุไม่เกิน 6 ขวบเล่นเครื่องเล่นเกมส์นี้ และติดเครื่องนี้ขึ้นมา ผลกระทบของ 3 มิติ อาจจะส่งผลทำร้ายเด็กได้
ภาพ 3 มิตินั้น จะแยกระหว่าง ภาพที่ตาขวา กับ ตาซ้าย มองเห็นออกจากกัน ซึ่งอาจจะทำให้สมองของเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ เกิดการเรียนรู้ หรือจดจำข้อมูลที่ผิดพลาดได้เครื่องเล่นเกมส์ Nintendo 3DS นั้น จึงอาจเป็นอันตรายต่อเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ดังนั้นขอให้คิดให้รอบคอบก่อนที่จะซื้อให้ลูก .. เข้าใจว่า น่าจะรวมไปถึงการดูภาพ 3 มิติ จากทีวีรุ่นใหม่ๆ หรืออุปกรณ์ IT ใหม่ด้วยนะ
เทคนิค พิชิตความง่วง

1. ของกิน เป็นวิธีที่เบสิกที่สุด สำหรับเรียนที่กวดวิชา แต่ถ้าอยู่โรงเรียนนั้น ครูจับได้ละงานเข้าแน่!! เหอๆ วิธีกินของกินนั้นเป็นวิธีที่ดีเหมือนกันเพราะการที่มีอะไรกินอยู่เสมอ จะทำไม่ให้ง่วง แต่ต้องเลือกบ้างนะ ไม่งั้นอิ่มเสร็จ หลังตาหย่อนต่อ = =” ที่ให้แนะนำก็คือ ดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำ ก่อนเข้าห้อง ทำให้สมองจดจำดีขึ้น (วิธีนี้ไม่รู้ว่าจะจำได้จริงรึเปล่า หามาจากเว็บน่ะ) ของกินที่แก้ง่วงได้ก็มีน่ะพวก ลูกอมรสเปรี้ยวจัด หรือ เย็นจัดก็น่าจะตื่น (Recommend: super lemon, เวเธออร์, โบตัน มินท์บอล แรงได้อีก) ไม่ไหวก็ทานของเปรี้ยว พวกผลไม้ดองช่วยได้นะ (อย่ากินมากนะเออ เดี๋ยวท้องปั่นป่วนส้วมแตกทำไงอ่ะ) ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็คงต้องเป็นชา กาแฟสินะ

2. อุปกรณ์ ถ้าเป็นโรคง่วงมากๆ ก็พกติดตัวไว้เลยพวก ยาดม ผ้าเย็นเช็ดหน้า ทนไม่ไหวเอายาหม่องทาตาไปเลย!!! (อย่าดีกว่าม้างง~~)

3. สูดหายใจเข้าปอดลึกๆ กลั้นหายใจเท่าที่ทำได้ แต่อย่าฝืนมากๆ เดี๋ยวตาย!! สูดไปสักสองครั้งเต็มๆ (พิสูจน์ให้ด้วยว่าใช้ได้ผลเปล่า!!)

4. ออกกำลังกาย หรือกิจกรรมที่มันน่าเล่น ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็อย่ามาก เดี๋ยวครูด่ากลิ่นตัวหึ่ง เล่นแต่พอดีละกัน (เหนื่อยมากก็ง่วงอีก อะไรกันวะนี่ -*-) ถ้าเป็นผู้หญิงก็เดินไปเดินมาก็ได้จะได้ไม่เหนื่อย (เดินที่ลับตา เจอครูด่าแทน -*-)

5. หาอะไรสวยๆงามๆ เป็นวิธีที่แปลกมากๆ แต่ละก็ดีนะเอามาลงดีกว่า มองอะไรสวยงามๆ เผื่อทำให้ครูตื่นได้ เช่น นึกว่าครูใส่ทูพีซ หรือ ใส่ชุดเมจ โมเอะกันเข้าไป เอาให้เลือดกำเดากระฉูดไปเลย (จากนั้นตายเพราะเสียเลือดมากแทน =v=”) จากนั้นก็จะตื่นเพราะฝันร้ายแทน โฮะๆๆ ปล. วิธีใช้ได้กับครูบางอายุเท่านั้น =w=

6. เข้าห้องน้ำ ไปล้างหน้าล้างตาซะ เพื่อเพิ่มความสดชื่นได้อีกนิด อยากได้ตื่นเลยเอาน้ำเย็นจัดราดหน้าซะเลย!! (วิธีนี้ใช้ไม่ได้กับผม มันด้านอยู่แล้น กรั่กๆ -..-)

7. ฟังเพลง ในเมื่อมันง่วงก็ต้องหาเพลงแก้ง่วง พวกโมแสรด ไม่ต้องเอามา เพลงในที่นี้เลือกกันตามสบาย แต่ว่าฟังก่อนเข้าเรียนนะ (เอาเข้ามาโดนยึดจิ!!)

8.ทรมานตัวเอง ซาดิสม์ได้ใจจริงพวกนี้ ใครอยากจะใช้วิธีนี้ก็ลองดูนะ เช่น พยายามทำให้ตัวเองตกใจ (ไปดูหนังผีเหรอ) ตบหน้าตัวเองแรงๆ (วิธีนี้ผมใช้จริงๆ ด้วย 5 นาทีต่อมาหลับต่อ กู่ไม่กลับเลย… ) ไม่ตื่นก็หยิกตัวเองให้แรงขึ้น (เอาไม้หนีบผ้ามาหนีบหนังตาเป็นว่าเล่น) หาเรื่องให้ตัวเอง ( ไปปาดหน้ามาเฟียเล่นๆ ตื่นเลย!! ) เอาน้ำร้อนราดหัว (เหมือนในข่าวในมินิมาร์ทอ่ะเหรอ ที่เอามาสาดกัน ไม่รู้นะเนี่ยว่าทำให้ตื่นได้)

9. ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังง่วง หลับเถอะ!! ดีกว่าเรียนแบบไม่รู้เรื่อง เหอๆ ( ถ้าไปเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะสดๆ เนี่ย แนะนำว่าอย่าหลับเลย ไม่งั้น ได้เผลอโดนแอบถ่ายขึ้นกล้อง

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

~~~~ เคล็ดไม่ลับก่อนสอบ


-เวลาสอบอย่าใช้ปากกาสีดำนะ เพราะว่ามันคือสีแห่งความมืดมนสำหรับการสอบ วิธีแก้คือใช้ปากกาน้ำเงินซะนะ


-ก้าวแรกที่ก้าวเข้าห้องต้องเป็นเท้าซ้ายถึงจะดี แต่ต้องเข้าทางประตูหน้านะ พอเข้าไปแล้วก็หันหน้าไปทางโต๊ะคนคุมสอบ แล้วท่องว่า”เราทำได้” ประมาณ 3 ครั้งนะ


-ก่อนถึงวันสอบให้ไปนั่งขัดรองเท้านักเรียน ขัดๆ ถูๆ ไปประมาณ 3 นาที แล้วทางที่ดี อย่าเอาไปใส่จนถึงวันสอบ แล้วจะมีสมาธินะ


-เอาหนังสือในวิชาที่ไม่ชัวร์สอดไว้ใต้หมอน แต่ได้แค่เล่มเดียวนะหน้าไหนอ่านแล้วไม่เข้าใจให้ปริ้นรูปดาราคนโปรดมาเป็นที่ขั้นหนังสือ วางไว้แป้ปๆ ก็หยิบมาอ่าน แล้วก็จะจำได้


-สุดท้ายก็คือทบทวนบทเรียน ใครทำได้ถือว่าผ่านแน่ๆ แต่ถ้าอยากได้เคล็ดไม่ลับก็จะบอก คือเวลาเราอ่านสอบ ให้จดสาระสำคัญไว้ แล้วพอก่อนสอบก็เอาที่จดไว้นั่นแหละมาอ่าน


...ใกล้จะสอบแล้ว ก็ลองเอาเคล็ดลับพวกนี้ไปใช้นะ ปล.ตามความเชื่อ

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

8 วิธีอ่านหนังสือสอบได้อย่างเซียน

เมื่อลองย้อนเวลากลับไปในสมัยที่เรียนอยู่ ช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดคือ ช่วงเวลาแห่งการท่องตำราสอบ ไม่ว่าจะเรียนอยู่ในระดับไหนก็หลีกเลี่ยงการท่องตำราสอบกันไม่ได้ทั้งนั้น เคยเป็นไหมที่รู้สึกว่า อยากให้มีเวลาเยอะกว่านี้



เพื่อจะได้อ่านหนังสือสอบให้ทัน วันนี้เราจึงรวบรวมเทคนิคการอ่านให้ได้ประสิทธิภาพ ที่คิดว่าพอจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับการอ่านมานำเสนอ ดังนี้


1. หัดให้ตัวเองมีวินัยให้ได้ คือ ถ้าเราวางแผนว่าจะอ่านหนังสือให้ได้เท่านี้สำหรับวันนี้ เราก็ต้องทำให้ได้ วิธีฝึกเริ่มแรกให้กำหนดง่ายๆ ก่อนว่า วันนี้เราจะอ่านตำราแค่ 1 บท หรือ 10 หน้า เป็นต้น เอาแค่นี้ให้ได้ ถ้าอ่านจบเร็วก็ไปทำอย่างอื่น พอวันต่อๆ ไปก็ค่อยๆ เพิ่มปริมาณขึ้นตามสมควร แล้วก็ต้องอ่านให้ได้ตามเป้าหมาย เมื่อเราอ่านได้ตามเป้าแล้วในแต่ละครั้งก็อย่าลืมให้รางวัลตัวเองด้วยทุกครั้ง โดยรางวัลก็อาจจะเป็นอะไรง่ายๆ เช่น ได้ดูละครหนึ่งเรื่องตอนกลางคืน เป็นต้น


2. วางแผนการอ่านหนังสือ เมื่อเรามีวินัยและเคารพการวางแผนของตัวเองแล้ว ต่อไปก็ต้อง วางแผนการอ่านหนังสือ การวางแผนที่ดีนั้นสำคัญมาก เพราะทำให้เราเดินไปถูกทิศทาง การวางแผนไม่ถือเป็นการเสียเวลา แต่เป็นการประหยัดเวลาในระยะยาว เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาเดินผิดทาง


3. อย่าตะบี้ตะบันอ่านเกินควร อย่าคิดว่าตัวเองเป็น superman คือ สามารถอ่านหนังสือได้เยอะเกินกำลังภายในเวลาอันสั้น อย่าวางตารางการอ่านให้แน่นเกินไป เพราะนอกจากจะทำไม่ได้ตามแผนอยู่แล้ว ยังทำให้ตัวเองเครียดเพราะแผนนั้นโดยไม่จำเป็นด้วย แรกๆ อาจจะกะความสามารถตัวเองยากหน่อย หรือการอ่านตำราภาษาอังกฤษกับภาษาไทยก็ใช้ระยะเวลาการอ่านไม่เท่ากัน ก็ใช้เก็บสถิติจากการอ่านในรอบแรกๆ เช่น การอ่านภาษาอังกฤษ 1 หน้า เราใช้เวลา 10 นาที เราก็จะประมาณถูกว่าต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะอ่านจบบทหรือจบวิชา เป็นต้น


4. หาที่อ่านที่สงบเงียบและนั่งสบาย ส่วนบรรยากาศก็แล้วแต่คนชอบ บางคนชอบอ่านที่บ้าน ในห้องสมุด ในสวนมีต้นไม้เขียวๆ หรือในร้านกาแฟ หรือบางทีเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ควรไม่อยู่ใกล้ทีวี หรือสิ่งต่างๆ ที่ทำให้เราเสียสมาธิ เพราะทำให้เราเสียเวลาในการอ่าน และทำให้จำได้ไม่ดีด้วย แต่ก็ทราบมาว่าบางคนจะชอบให้มีเสียงเพลงหรือเสียงอื่นๆ เวลาอ่านหนังสือด้วย อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบ


5. อย่าให้สิ่งใดมารบกวนการอ่าน เวลาอ่านหนังสือ เราควรกำหนดว่า เวลานี้เราจะตั้งใจ และไม่ปล่อยให้อะไรมาขัดโดยไม่จำเป็น เช่น อาจจะปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น คนอื่นก็จะไม่มารบกวนโดยไม่จำเป็น การได้ทำงานหรืออ่านหนังสือเป็นช่วงเวลาติดต่อกันอย่างนี้มีประสิทธิภาพกว่าการอ่านที่ถูกหยุดด้วยสิ่งต่างๆ


6. พักผ่อนสมองบ้าง เมื่ออ่านหนังสือไปนานๆ เราก็จะเริ่มล้า ทั้งสมองที่ต้องคิด ทั้งร่างกายที่ไม่ได้ขยับ ทั้งสายตาที่ต้องจ้องอยู่นาน เราก็ควรกำหนดเวลาพัก อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบ อาจจะพักอ่านหนังสือทุกๆ ชั่วโมงหรือ 2 ชั่วโมง โดยออกไปเดินยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ ทานขนม หรือไปมองต้นไม้เขียวๆ เวลาพักก็ต้องกำหนดด้วยว่า 5 นาที หรือ 15 นาที เป็นต้น


7. ชอบขีดเส้นหรือเน้นข้อความที่สำคัญในหนังสือโดยไม่หวงหนังสือ ว่าจะดูเลอะเทอะเลย เพราะชอบเวลากลับมาอ่านทวน เราก็จะรู้ว่าจุดไหนเป็นข้อมูลสำคัญ เรายังสามารถใช้ทบทวนก่อนสอบได้ด้วย สำหรับคนที่ชอบหนังสือใหม่ๆ เกลี้ยงๆ ก็อาจจะต้องหาสมุดกับปากกามาจดสิ่งที่สำคัญจากหนังสือนั้นๆ เพื่อการอ่านทบทวนได้


8. พยายามจัดเวลาอ่านหนังสือในช่วงเวลาที่เราตื่นตัวที่สุด อันนี้แตกต่างกันไป บางคนจะจำได้ดีถ้าอ่านตอนเช้า บางคนเป็นตอนเย็น ก็ต้องสังเกตตัวเองดู ถ้าทราบแล้วอาจจะกำหนดเป็นเวลาประจำทุกวัน เช่น ทุกวันเวลา 2 ทุ่ม - 5 ทุ่ม เราต้องอ่านตำราทบทวนที่เรียนมา เป็นต้น

อย่าลืมทบทวนตำราเรียนทุกวันนะคะ แล้วเอาเทคนิคทั้ง 8 ไปใช้ดู เผื่อประสิทธิภาพในการอ่านจะทำให้เกรดภาคเรียนต่อไปดีขึ้นทันตาก็ได้

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ที่มา..ทำไมต้องใช้ดอกมะลิเป็นดอกประจำวันแม่
"คำว่าแม่"นั้นมีความหมายในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้"
ประเทศไทยเริ่มจัดงานวันแม่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน ต่อมามีการเปลี่ยนกำหนดงานวันแม่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนโดยให้ถือว่า วันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก คนไทยถือเป็นดอกไม้มงคล นิยมเอาดอกมะลิมาร้อยเป็นมาลัยเพื่อบูชาพระ และดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลายมะลิ นอกจากนี้ มะลิดอกแห้งก็ยังสามารถใช้ปรุงเครื่องยาหอมใช้บำรุงหัวใจได้เป็นอย่างดี

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำขวัญวันแม่ 2554

วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญที่คนไทยทุกคนรู้กันดีว่า ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และถือเป็น "วันแม่แห่งชาติ" ของประเทศไทยที่ทุกคนให้ความสำคัญ ซึ่งนับตั้งแต่วันแม่แห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ก็จะมีการตั้งคำขวัญประจำวันแม่แห่งชาติ เพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อมารดา และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่วันแม่แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 เป็นต้นมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติแก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะนำไปเผยแพร่เทิดพระคุณแม่ทั่วประเทศ

ประวัติวันแม่ 12 สิงหาคม วันแม่แห่งชาติ แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้ พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จ ด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่าย ของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความ สำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปี ของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพลป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวัน แม่ของชาติ ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

***จุดเริ่มต้น ... ของสุขภาพสวย***

ความสวยจากภายในไม่ใช่จะมาเอง เราต้องเริ่มต้นดูแลมันทุกวัน

ดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันที เพราะช่วงที่เราหลับกินเวลานานอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ทำให้เลือดข้นเป็นพิเศษ เมื่อตื่นนอนสาวๆ จึงควรดื่มน้ำตามทันทีเพื่อรักษาสมดุลของเลือด
กินผักทุกมื้อ ไม่จำเป็นต้องกินสลัดล้วนๆ หรอกค่ะ แต่ควรจะมีผักปนอยู่ในกับข้าวบ้างสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดี

ออกกำลังกายเป็นประจำ ยิ่งออกกำลังบ่อย เลือดก็ยิ่งสูบฉีดดี ทำให้ส่วนที่สึกหรอมีอาหารไปซ่อมแซมมากขึ้น สุขภาพก็ดีไปด้วย

นอนหลับให้ตรงเวลา เวลาที่ร่างกายเรียกร้องการนอนมากที่สุดคือสี่ทุ่ม และตื่นหกโมงเช้า ถ้าทำได้อย่างนี้รับรองเฮลท์ตี้แน่ๆ

กินอาหารให้ครบทุกมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ วิธีอดข้าวเพื่อให้ผอมน่ะร่างกายของร้องว่าอย่าทำ เพราะมันคือการฆ่าตัวตายผ่อนส่ง แถมผิวก็จะโทรมอย่างเห็นได้ชัด

ทำจิตใจให้แจ่มใส นี่คือไม้ตายสำหรับความสวยแบบสุขภาพดี ถ้าเครียดตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้กินอาหารดีแค่ไหนสุขภาพก็ไม่ดีตามไปด้วยแน่นอน

ดื่มกาแฟให้น้อยที่สุด แล้วหันมาดื่มชาเขียวหรือชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพแทน

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


Adansonia

"Baobab" redirects here. For other uses, see Baobab (disambiguation).


Adansonia is a genus of eight species of tree, six native to Madagascar, one native to mainland Africa and the Arabian Peninsula and one to Australia. The mainland African species also occurs on Madagascar, but it is not a native of that island.
A typical common name is baobab. Other common names include boab, boaboa, bottle tree, upside-down tree, and monkey bread tree. The generic name honours
Michel Adanson, the French naturalist and explorer who described A. digitata.