วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Silja Line

Silja Line is a Finnish cruiseferry brand operated by the Estonian ferry company AS Tallink Grupp, for car and passenger traffic betweenFinland and Sweden. The former company Silja Oy – today Tallink Silja Oy – is a subsidiary of Tallink Grupp, handling marketing and sales for Tallink and Silja Line brands in Finland as well as managing Silja's ship employees. Another subsidiary, Tallink Silja AB, handles marketing and sales in Sweden. Strategical corporate management is performed by Tallink Grupp which also own the ships.[1] As of 2009 four ships service two routes under the Silja Line brand, transporting about three million passengers and 200,000 cars every year.[2] The Silja Line ships has a market share of around 50 percent on the two routes served.

Jules Verne

Jules Gabriel Verne (French pronunciation: [ʒyl vɛʁn]; February 8, 1828 – March 24, 1905) was a French author from Brittany who pioneered the science-fiction genre. He is best known for novels such as Twenty Thousand Leagues Under the Sea (1870), A Journey to the Center of the Earth (1864), and Around the World in Eighty Days (1873). Verne wrote about space, air, and underwater travel before air travel and practical submarines were invented, and before practical means of space travel had been devised. He is the third most translated individual author in the world, according to Index Translationum. Some of his books have also been made into films. Verne, along with Hugo Gernsbackand H. G. Wells, is often popularly referred to as the "Father of Science Fiction"

Corse


La Corse est une île de la mer Méditerranée et une région française, ayant toutefois un statut spécial (officiellement « collectivité territoriale de Corse »), composée de deux départements : la Corse-du-Sud (2A) et la Haute-Corse (2B). Elle fut indépendante le 30 janvier 1735, puis elle devint française le 15 mai 1768 par le traité de Versailles. Elle avait pour hymne national Dio vi salvi Regina. Elle est aujourd'hui surnommée Île de Beauté. Les grecs l'appelaient Kallisté (en grec ancien Καλλίστη : « la plus belle »).

เจ้าชายน้อย

เจ้าชายน้อย (ฝรั่งเศส: Le Petit Prince; อังกฤษ: The Little Prince) เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 อองตวน เดอ แซง-เตกซูเปรีเขียนงานเขียนชิ้นนี้ขณะพำนักอยู่ที่นิวยอร์ก เจ้าชายน้อยถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลก นวนิยายชุดนี้ได้รับการจัดแปลกว่า 190 ภาษาและมียอดจำหน่ายกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก[1][2] ในหลายประเทศได้มีการนำเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือไปสร้างเป็นการ์ตูน ภาพยนตร์ ละครเวที อุปรากร และการแสดงรูปแบบอื่นๆ

เนื้อเรื่องย่อ เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาถึงคุณค่าของมนุษย์โดยได้พบกับผู้คนมากหน้าหลากหลาย และเห็นพฤติกรรมที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริง จนกระทั่งมาพบกับคนจุดแสงตะเกียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายน้อยเกิดความประทับใจ

บทบาทของประเทศไทยในองค์การสหประชาชาติ

ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติลำดับที่ 55 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2489 หลังจากทีสหประชาชาติได้ก่อตั้งเพียง 1 ปี โดย นายดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้ชี้แจงเหตุผลไว้ดังนี้

1. เพื่อ ความมั่นคงของไทย เนื่องจากสหประชาชาติเป็นองค์การมีกำลังมากที่สุดที่สามารถธำรงสันติภาพ และความมั่นคง และให้ความยุติธรรมสำหรับประเทศเล็ก ๆ อย่างไทย

2. เพื่อ แสดงให้โลกเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศเก่าแก่ชาติหนึ่ง เนื่องจากการที่เข้าเป็นสมาชิกขององค์การโลกเป็นการยืนยันรับรองฐานะของไทย อีกครั้งหนึ่ง

3. ไทยหวังความช่วยเหลือจากสหประชาชาติในด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม

4. เพื่อแสดงให้โลกเห็นว่า ไทยประสงค์จะร่วมมือในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงของโลกอย่างจริงจัง

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554



อันดับ 10 Narcissusดอกนาร์ซิสซัสนี้ ว่ากันว่า มีพิษร้ายแรงมากมายมีหลายคนที่สับสนแยกไม่ออกระหว่างดอกไม้นี้กับหัวหอมแต่ถ้ากินเข้าไปแล้วล่ะก็ เจอดีแน่ทั้งอาการคลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงอย่างแรง


อันดับ 9 Rhododendronเราก็ไม่แน่ใจชื่อภาษาไทยของมันเหมือนกันเพราะงั้น เราใช้ชื่อเต็มของมันดีกว่า เกิดอ่านผิดจะแย่ทีเดียวต้นไม้นี้มีดอกที่สวย รูปทรงเหมือนกระดิ่ง และจะงอกงามมากในฤดูใบไม้ผลิแต่ว่าใบของมันมีพิษร้ายเช่นเดียวกับน้ำหวานถ้าเผลอกินเข้าไป อาจทำให้ริมฝีปากไหม้ได้จากนั้นก็จะคลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็วถ้าหากว่าเผลอกินเข้าไป ให้รีบดื่มน้ำตามมากๆ จะช่วยได้
อันดับ 8 Ficusไฟคัส ต้นไม้เล็กๆ ที่มีใบเล็ก และมียางที่มีพิษเหลือร้ายมันสามารถเติบโตได้หลากหลายที่ แม้แต่ในหม้อเก่าๆก็โตได้ถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าล่ะก็ จะเจ็บปวดมากทีเดียวและต้องไปหาหมอเพื่อขอยาทาแก้ปวดแสบปวดร้อน

อันดับ 7 Oleanderทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมดแค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้วถ้าเผลอกินเข้าไปล่ะก็ จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้

อันดับ 6 Chrysanthemumโอ้! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ดอกเบญจมาศจะติดอันดับกับเขาด้วยแต่ว่าดอกไม้นี้มีมากกว่า 200 ชนิดในสปีชี่ส์เดียวเพราะงั้นก็ไม่แปลกที่บางชนิดจะมีพิษร้ายถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษเค้าว่าให้ดูที่กระต่าย เพราะมันจะไม่กล้าเข้ามากินแต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้ และต้องหายาทา

อันดับ 5 Anthuriumถ้าหากว่า เผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังล่ะก็ เสร็จแน่ดอกไม้นี้ จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้ยิ่งถ้าโดนปากนี่ แย่ที่สุดเลยหรือถ้ากินเข้าไปนี่ จะทำให้เสียงแหบเสียงแห้ง พูดไม่ได้ยินไปสักพักเลยล่ะ

อันดับ 4 Lily-of-the-valleyว้าว! ชื่อเพราะจังเลย ดอกลิลลี่แห่งหุบเขาเนี่ยแต่ติดอันดับสี่ได้ เชื่อว่าต้องอันตรายแน่ๆเค้าว่า ถ้ากินเข้าไปแล้ว หัวใจจะเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียนบางคนที่กินมากๆ อาจจะเจอล้างท้องได้นะ

อันดับ 3 Hydrangeaอะไรกัน ไฮเดรนเยียออกจะสวยเนอะแต่ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะมีอันตรายด้วยมันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปล่ะก็จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัว คลื่นไส้ อยากจะอาเจียนบางคน อาจจะเกิดอาการช็อคได้เลยด้วยซ้ำไปเพราะงั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง นะจ๊ะ

อันดับ 2 Foxgloveถุงมือหมาจิ้งจอก?ดอกไม้สูงแค่สามฟุต สีสวยงามนี่แหละ อันตรายดีทีเดียวแน่นอนว่า จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมากและปากไหม้ด้วย ถ้ากินเข้าไปนะบางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติว่ากันว่า มันฆ่ากระต่ายได้เลยล่ะ

อันดับ 1 Wisteriaชื่อต้นไม้นี้ แปลกทีเดียวเชียวแต่ก็นั่นแหละ เค้าบอกว่า ถ้าเผลอกินเข้าไปเมื่อไหร่ท้องร่วง ท้องเสีย อาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อคแหงแก๋ได้เหมือน

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554


Galette

Galette is a general term used in French to designate various types of flat, round or freeform crusty cakes similar in concept to a Chinesebing. One notable type is the galette des Rois (King cake) eaten on the day of Epiphany. In French Canada, the term galette is usually applied to pastries best described as large cookies.
Galette, or more properly Breton galette (French: Galette bretonne, Breton: Krampouezhenn gwinizh du), is also the name given in most French crêperies to savoury buckwheat flour pancakes, while those made from wheat flour, much smaller in size and mostly served with a sweet filling, are branded crêpes. Galette is a type of thin large pancake mostly associated with the regions of Normandy and Brittany, where it replaced at times bread as basic food, but it is eaten countrywide. Buckwheat was introduced as a crop suitable to impoverished soils and buckwheat pancakes were known in other regions where this crop was cultivated, such as Limousin or Auvergne.
It is frequently garnished with egg, meat, fish, cheese, cut vegetables, apple slices, berries, or similar ingredients. One of the most popular varieties is a galette covered with grated Emmental cheese, a slice of ham and an egg, cooked on the galette. In France, this is known as agalette complète (a complete galette). A hot sausage wrapped in a galette (called galette saucisse, a tradition of Rennes, France) and eaten like a hot dog is becoming increasingly popular as well.
There is a children's song about galette:
"J'aime la galette, savez-vous comment ? Quand elle est bien faite, avec du beurre dedans." ("I like galette, do you know how? When it is made well, with butter inside.")

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

เทศกาลแตงโมที่ออสเตรเลีย

เมืองชินชิลลา รัฐควีนแลนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย จัดเทศกาลแตงโม ไฮไลท์ของงานคือ การเล่นสกีแตงโมที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้ร่วมงาน
งานเทศกาลแตงโมที่เมืองชินชิลลา รัฐควีนส์แลนด์ จะจัดขึ้นทุกๆ 2 ปี โดยในงานจะเห็นแตงโมในทุกๆที่ เนื่องจากแตงโมเป็นพืชผลทางการเกษตรของคนที่นี่ แต่ที่เป็นไฮไลท์ของงานคือ การเล่นสกีแตงโม ที่สร้างความสนุกสนานให้กับผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก
สำหรับงานเทศกาลแตงโมของเมืองชินชิลลา เริ่มขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อน ซึ่งในครั้งนั้นชาวเมืองที่นี่เผชิญกับภาวะแห้งแล้งอย่างหนัก จึงได้จัดเทศกาลนี้ขึ้นมาเพื่อให้ผ่านพ้นความแห้งแล้งไปได้ แต่สำหรับปีนี้จัดขึ้นเพื่อระดมเงินบริจาคช่วยฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมในรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งเผชิญกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 69 ปี ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อให้เมืองชินชิลลา ผ่านพ้นภาวะแห้งแล้งเหมือนเมื่อ 17 ปีก่อน
ประเทศที่ต้องขอ และไม่ต้องขอวีซ่า
ประเทศที่ต้องขอวีซ่า
ประเทศในกลุ่มสัญญา "เชงเก็น" (Visa Schengen) ได้แก่ ออสเตรีย เยอรมนี เบลเยี่ยม เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส กรีซ ไอซ์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สเปน และสวีเดน
ผู้ที่ต้องการเดินทางในเส้นทางของกลุ่มประเทศ เชงเก็น ให้ยื่นคำร้องวีซ่าเชงเก็นต่อสถานทูต ของประเทศที่เป็นประเทศหลักของการเดินทาง หรือใช้ระยะเวลาอยู่ในประเทศนั้นๆ นานที่สุด แต่ถ้าไม่มีประเทศหลักของการเดินทางให้ยื่นคำร้องขอวีซ่าต่อสถานทูตของประเทศที่จะเดินทางเข้าไปเป็นประเทศแรก ทั้งนี้การยื่นขอวีซ่า สามารถยื่นคำร้องขอแบบเดินทางเข้า-ออกครั้งเดียว หรือเข้า-ออกหลายครั้งก็ได้ แต่รวมเวลาพำนักทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 90 วัน ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่เดินทางเข้าประเทศในกลุ่มสัญญาเชงเก็น
ส่วนประเทศอื่นในยุโรป ก็ต้องขอวีซ่าตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก่อนไปขอวีซ่าประเทศไหน โทรไปสอบถามที่สถานทูตประเทศนั้นๆ ก่อน ก็น่าจะดี จะได้ทราบว่าต้องนำเอกสารหลักฐาน หรือต้องเตรียมค่าธรรมเนียมไปเท่าไร วีซ่านี้เที่ยวได้ในกลุ่มเท่านั้น อย่างอังกฤษ ต้องขอวีซ่าใหม่ ค่าธรรมเนียมการขอวีซ่า
เชงเก็น 39.95 ยูโร
ประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า
มีหลายประเทศที่รัฐบาลทำความตกลงเอาไว้เพื่อให้เดินทางไปมากันได้สะดวก และมีอีกหลายประเทศที่อำนวยความสะดวกให้คนไทยเป็นพิเศษ ปัจจุบัน (27 มี.ค. 2550) มีอยู่ 18 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ที่ผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยสามารถเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ได้แก่

อาร์เจนติน่า (อยู่ได้ 90 วัน)
บาห์เรน (อยู่ได้ 14 วัน)
บราซิล (อยู่ได้ 90 วัน)
บรูไน (อยู่ได้ 14 วัน)
ชิลี (อยู่ได้ 90 วัน)
ฮ่องกง (อยู่ได้ 30 วัน)
อินโดนีเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
เกาหลีใต้ (อยู่ได้ 90 วัน)
ลาว (อยู่ได้ 30 วัน)
มาเก๊า (อยู่ได้ 30 วัน)
มาเลเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
มัลดีฟส์ (อยู่ได้ 30 วัน)
เปรู (อยู่ได้ 90 วัน)
ฟิลิปปินส์ (อยู่ได้ 21 วัน)
รัสเซีย (อยู่ได้ 30 วัน)
สิงคโปร์ (อยู่ได้ 30 วัน)
แอฟริกาใต้ (อยู่ได้ 30 วัน)
เวียดนาม (อยู่ได้ 30 วัน