วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันคริสต์มาส
คำว่า คริสต์มาส ภาษาอังกฤษเขียนว่า Christmas ดังนั้นอย่าลืม "ต์" อยู่ที่คำว่า คริสต์ (Christ) ไม่ใช่คำว่า "มาส" (Mas) Christmas มาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า โดยพบคำนี้ครั้งแรกในเอกสารโบราณในปี ค.ศ.1038 ภายหลังแปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ประวัติความเป็นมาของวันคริต์มาส ซึ่งเป็นวันเกิดของพระเยซูนั้น ตามหลักฐานในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ ออกัสตัส แห่งโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็ขานรับนโยบาย อย่างไรก็ตามในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร ด้านนักประวัติศาสตร์วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยเทพ โดยตั้งแต่ปีค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปีค.ศ.64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปีค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย สำหรับองค์ประกอบในงานฉลองวันคริสต์มาสมีความเป็นมาเช่นกัน เริ่มที่คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย สำหรับ "ซานตาคลอส" เซนต์นิโคลัสแห่งเมืองมีรา สมัยศตวรรษที่ 4 ได้รับการขนานนามให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี ปิดท้ายที่ต้นคริสต์มาส หรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน ต้องย้อนไปศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมามาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซา เป็นประเพณี สำคัญที่สุด ที่ชาวคริสต์ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรกในเอกสาร โบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ เพราะฉะนั้น คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพร คนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คุกบาสตีย์

การโจมตีคุกบาสตีย์ (ฝรั่งเศส: Prise de la Bastille) ในปารีสเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2332 (ค.ศ. 1789) แม้ป้อมปราการและคุกสมัยกลางในปารีสที่เป็นที่รู้จักในชื่อบาสตีย์นี้จะมีนักโทษเพียงเจ็ดคน แต่การล่มสลายของมันได้กลายเป็นสถานการณ์ที่รุนแรงและควบคุมไม่ได้ที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส และต่อมามันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส. ในฝรั่งเศส, วัน Le quatorze juillet (14 กรกฎาคม) เป็นวันหยุดราชการ ก่อนหน้านี้มันเป็นที่รู้จักในชื่อ Fête de la Fédération (วันหยุดสหพันธรัฐ). วันนี้มักถูกเรียกว่า วันบาสตีย์ (Bastille Day) ในภาษาอังกฤษ
ได้มีบันทึกต่อมาว่า ปืนใหญ่ที่ใช้ยิงทลายประตูคุกบาสตีย์นั้น มีปืนใหญ่สองกระบอกที่ผลิตในประเทศไทย ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันปืนคู่นี้ถูกตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์ทหารบกฝรั่งเศส

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553


กิโยติน

กิโยติน (ฝรั่งเศส: guillotine) คือเครื่องมือที่ใช้ในการลงโทษโดยการตัดคอ กิโยตินประกอบโครงโดยส่วนมากจะเป็นไม้ ไว้สำหรับแขวนใบมีดรูปสี่เหลี่ยมคางหมู น้ำหนักประมาณ 40 กก. ใบมีดจะถูกแขวนไว้ในส่วนบนสุด ภายใต้ใบมีดจะเป็นส่วนที่ให้ผู้ถูกลงโทษวางศีรษะ เมื่อเชือกได้ถูกปล่อยหรือตัดลง ใบมีดที่หนักจะหล่นลงไม้ในระยะทางประมาณ 2.3 เมตร และตัดศีรษะผู้ถูกประหาร (ความสูงและน้ำหนักตามมาตรฐานกิโยตินฝรั่งเศส)

ถึงแม้ว่าประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นประเทศแรกที่ใช้การประหารชีวิตด้วยกิโยติน นิโกลาส์ ชัก เปลติเยร์ (Nicolas J. Pelletier) โจรปล้นสัญจรถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินเป็นคนแรกเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหราชอาณาจักร มีเครื่องลงโทษลักษณะที่คล้ายกันชื่อ จิบบิต (gibbet) และมีเครื่องลงโทษลักษณะคล้ายกันใน ประเทศอิตาลี และ สวิตเซอร์แลนด์
อองตวน หลุยส์ (Antoine Louis) สมาชิกของกลุ่ม Académie Chirurgical เป็นบุคคลที่คิดค้นการทำงานของเครื่องกิโยติน โดยเครื่องกิโยตินตอนแรกได้ใช้ชื่อว่า หลุยซอง (Louison) หรือ หลุยเซท (Louisette) แต่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "กิโยติน" ตามชื่อของ ดร.โฌเซฟ-อินแนซ กิโยแตง (Joseph-Ignace Guillotin) แพทย์ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้เสนอแนะการประหารชีวิตโดยการตัดคอ ภายหลัง ดร.กิโยติน ได้เปลี่ยนนามสกุล เนื่องจากไม่ต้องการใช้ชื่อสกุล เป็นคำเดียวกับวิธีการประหารชีวิต การใช้เครื่องกิโยตินแทนการประหารชีวิตแบบเก่า โดยเหตุผลว่าเป็นการประหารชีวิตของมนุษย์ ก่อน
การปฏิวัติฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงจะถูกตัดคอโดยดาบหรือขวาน ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปจะถูกแขวนคอ หรือวิธีการประหลาดต่างๆ ในช่วงของยุคกลาง (เช่น ถูกเผา หรือมัดกับล้อไม้) ในการตัดคอ มีหลายครั้งที่ตัดคอไม่สำเร็จในดาบแรก ทำให้เกิดความทรมานต่อผู้ถูกประหารชีวิต การใช้กิโยตินจะทำให้ผู้ถูกประหารชีวิตเจ็บปวดน้อยที่สุด ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส มีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินอย่างน้อย 20,000 คน โดยการประหารด้วยกิโยตินถือเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไปเช่นกัน

กิโยตินถือเป็นเครื่องประหารชนิดเดียวที่ถูกกฎหมาย จนกระทั่งยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตในปี พ.ศ. 2424 (ค.ศ. 1881) บุคคลสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินคือ ยูจีน เว็ดมันน์ (Eugene Weidmann) ฆาตกรสังหาร 5 ศพ โดยถูกตัดศีรษะเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) เวลา 16.32 น. ภายนอกคุก Saint-Pierre rue Georges Clemenceau 5 ที่เมืองแวร์ซายส์

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

10 อันดับจาก "ผักรักษาโรค"
1. เห็ดหอม มีรสหวาน มีกลิ่นหอม มีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด รับประทานเป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร
2. งา มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน
3. ถั่ว มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ
4. ขี้เหล็ก ใช้ใบรับประทาน ทำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูก และบำรุงร่างกาย
5. ตำลึง เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูง เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย
6. มะระ เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัดตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)
7. ผักกาด มี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก รับประทานป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอมสามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค
8. มะเขือ มีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ รับประทานช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและโรคลักปิดลักเปิด
9. ปวยเล้ง เป็นผักสีเขียวเข้ม มีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซี กรดออกซาลิกจำนวนมาก ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียมจะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกให้สุกก่อน จึงนำมาปรุงอาหาร รับประทานเพื่อยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน
10. แค รับประทานดอกชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้11. หัวปลี เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย มีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด แก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้
การปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า
- การรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อยๆ และใช้เวลาสั้นๆ
- การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย
- เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิธีการอ่านหนังสือให้ไว เข้าใจง่าย มีเทคนิคการอ่าน 5 ขั้นตอน กล่าวคือ
1. Prepare ( การเตรียมตัวอ่าน )
2. Preview ( การอ่านแบบผ่าน )
3. Passive Reading ( การอ่านแบบข้าม )
4. Active Reading ( การอ่านแบบสรุป )
5. Selective Reading ( การเลือกอ่าน )

Prepare ( การเตรียมตัวอ่าน ) ขั้นตอนแรกนี้ ผู้อ่านต้องพยายามถามคำถามที่สำคัญ 3 ข้อ คือ ทำไมต้องอ่านหนังสือเล่มนี้? อะไรบ้างที่ผู้อ่านรู้อยู่แล้วในหนังสือเล่มนี้? และอะไรบ้างที่ผู้อ่านต้องการจะรู้จากหนังสือเล่มนี้? เมื่อได้คำตอบแล้ว ผู้อ่านต้องตั้งปณิธานให้แนวแน่ ไม่อยากนั้นอาจจะหลงทาง ต่อจากนั้นดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้เลย

Preview ( การอ่านแบบผ่าน ) ขั้นตอนก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับโครงสร้างของหนังสือที่อ่าน ซึ่งอาจใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นเอง โดยหลักการอ่านแบบผ่านที่สำคัญ คือ
-สิ่งที่ต้องอ่าน : ปกหน้า ปกหลัง ปกด้านใน สารบัญ ดัชนี และบรรณานุกรม
-สังเกต : โครงสร้างของหนังสือ เช่น ชื่อบท หัวข้อหลัก หัวข้อรอง รูปภาพ กราฟ การ์ตูน และรูปถ่าย
-กำจัด : เนื้อหาในหนังสือที่ผู้อ่านมั่นใจ ว่าไม่ต้องอ่าน
-เน้น : เนื้อในหนังสือที่ผู้อ่านต้องการ
-ถามย้ำ : ถามตัวเองอีกครั้งว่า อะไรคือสิ่งที่ผู้อ่านต้องการจากหนังสือเล่มนี้

Passive Reading ( การอ่านแบบข้าม ) การอ่านแบบนี้ ต้องพยายามสแกนแต่ละหน้าอย่างรวดเร็ว หาคำศัพท์ที่โดดเด่น สังเกตข้อความที่หนังสือ โดยเฉพาะข้อความที่เน้นตัวหนา ตัวเอียง พยายามทำความเข้าใจกับคำศัพท์ที่ใช้ในหนังสือ หากผู้อ่านยังไม่คุ้นเคย

Active Reading ( การอ่านแบบสรุป ) หมายถึง การอ่านย่อหน้าแรกของแต่ละบท อ่านประโยคแรกของทุก ๆ ย่อหน้า และประโยคท้ายสุด ถ้าย่อหน้านั้นมีความยาวมาก ขณะที่อ่านให้ใช้ปากกาเน้นข้อความ ขีดเส้นใต้ วงกลมใจความสำคัญ หรือจดสรุปความเข้าใจ หรือเขียนเป็นแผนที่ความคิด ( Mind map ) ก็ได้

Selective Reading ( การเลือกอ่าน ) อ่านเฉพาะในสิ่งที่ผู้อ่านต้องการอ่าน อ่านเพื่อหาคำตอบที่ผู้อ่านค้นหา และหัวข้อต่าง ๆ ที่ผู้อ่านสนใจ

วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

หน้ากาก

หน้ากาก คือเครื่องบังใบหน้าทั้งหมดหรือบางส่วนสวมใส่เพื่อป้องกันสิ่งต่าง ๆ ใส่เพื่อปกปิดใบหน้า ใส่เพื่อ
เป็นการแสดง หรือเพื่อความบันเทิง หน้ากากมีมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งเพื่อประกอบพิธีกรรมและไว้ใช้งาน หน้ากากจะสวมไว้ที่หน้า แต่ก็มีการใส่ที่ส่วนอื่นของร่างกายด้วย เช่นในบางส่วนในออสเตรเลียที่สวมหน้ากากโทเท็มที่ตัว ขณะที่ผู้หญิงชาว Inuit จะสวมหน้ากากนิ้วไว้ขณะเล่าเรื่องหรือเต้นรำ


หน้ากากแฟนซีสวย ๆ
































วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปัญหา Y2K คืออะไร
Y2K คืออะไร
คำตอบสั้นๆคือคำย่อของ Year 2000 ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 โดย
Y ย่อมาจากคำว่า Year
K เป็นหน่วยในการวัดค่าต่างๆ ในระบบเมตริก มีค่าเท่ากับ 1000
2K จึงมีค่า 2x1000 เท่ากับ 2000
ดังนั้น Y2K ก็คือ Year 2000 นั่นเอง
ปัญหา Y2K คืออะไร
ปัญหา Y2K คือปัญหาซึ่งจะเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือทุกชนิดที่มี ส่วนควบคุมเป็น Micro Chip ซึ่งมีการทำงานต่างๆขึ้นกับวันและเวลาในตัว Micro Chip ที่เราเรียกว่า Real Time Clock (RTC) หากอุปกรณ์ใดก็ตามที่ไม่ได้ใช้วันและเวลาในตัว Micro Chip ในการทำงานหรือใช้เฉพาะเวลาเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้รับผลกระทบจาก ปัญหา Y2K เลย
ปัญหา ค.ศ. 2000 นอกจากจะเรียกว่า Y2K Bug แล้วยังมีชื่ออื่นอีก เช่น Millennium Bug เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

History

Tango is a dance that has influences from Spanish and African culture.[2] Dances from the candombe ceremonies of former slave peoples helped shape the modern day Tango. The dance originated in lower-class districts of Buenos Aires and Montevideo. The music derived from the fusion of various forms of music from Europe.[3] The word "tango" seems to have first been used in connection with the dance in the 1890s. Initially it was just one of the many dances, but it soon became popular throughout society, as theatres and street barrel organs spread it from the suburbs to the working-class slums, which were packed with hundreds of thousands of European immigrants, primarily Italians, Spanish and French.[4]
In the early years of the 20th century, dancers and orchestras from Buenos Aires travelled to Europe, and the first European tango craze took place in Paris, soon followed by London, Berlin, and other capitals. Towards the end of 1913 it hit New York in the USA, and Finland. In the USA around 1911 the word "tango" was often applied to dances in a 2/4 or 4/4 rhythm such as the one-step. The term was fashionable and did not indicate that tango steps would be used in the dance, although they might be. Tango music was sometimes played, but at a rather fast tempo. Instructors of the period would sometimes refer to this as a "North American tango", versus the "Rio de la Plata tango". By 1914 more authentic tango stylings were soon developed, along with some variations like Albert Newman's "Minuet" tango.
In Argentina, the onset in 1929 of the
Great Depression, and restrictions introduced after the overthrow of the Hipólito Yrigoyen government in 1930 caused tango to decline. Its fortunes were reversed as tango again became widely fashionable and a matter of national pride under the government of Juan Perón. Tango declined again in the 1950s with economic depression and as the military dictatorships banned public gatherings, followed by the popularity of rock and roll.
In 2009 the tango was declared as part of the world's "intangible cultural heritage

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

+++ที่สุดในโลกของ ต้นไม้ พืชและดอกไม้+++

ต้นไม้ (Tree) ที่อุบัติขึ้นในยุคแรกๆ ของโลกคือ ต้น the maidenhair (Ginkgo biloba) of Zhejiang ในประเทศจีน มันอุบัติขึ้นในโลกเมื่อราว 160 ล้านปีมาแล้วในยุค Jurassic
ต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวมานานที่สุดในโลกคือ ต้นสน (a bristlecone pine) พันธุ์ Pinus longaeva ที่พบขึ้นอยู่บนภูเขาในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอายุยืนยาวมากว่า 5,500 ปี


ต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกคือ ต้น 'Mendocio Tree' a coast redwood ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา วัดได้สูง 112.014 เมตร (367 ฟุต 6 นิ้ว) มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.139 เมตร (10 ฟุต 4 นิ้ว) คำนวณว่ามันมีอายุไม่น้อยกว่า 1,000 ปี และยังคงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ


ต้นไม้ที่มีขนาดรอบลำต้นใหญ่ที่สุดในโลกคือ ต้น European chestnut หรือที่เรียกกันว่า 'Tree of the Hundred Horses' บนเกาะ Sicily ประเทศอิตาลี มีขนาดรอบลำต้นวัดได้ 57.9 เมตร (190 ฟุต)

ต้นกระบองเพชร (Cactus) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ ต้นกระบองเพชรที่เรียกว่า the saguaro ที่พบในรัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก มีต้นสูงถึง 17.67 เมตร (57 ฟุต 11 3/4 นิ้ว)


ต้นยูคาลิปตัส (Eucalyptus) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคือ ต้นยูคาลิปตัส ที่ Watts River ในรัฐวิคตอเรีย (Victoria) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งสูงถึง 132.6 เมตร (435 ฟุต)

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553


"จิงโจ้ต้นไม้" พันธุ์หายาก

จิงโจ้ต้นไม้ อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายหนึ่งเดียวในสวนสัตว์สิงค โปร์ หลังจากบ้านเกิดเมืองนอนเดิมในปาปัวนิวกินีสภาพป่าถูกทำลายไปมาก จากการลักลอบตัดไม้มานาน แต่ตอนนี้ทางปาปัวฯ เริ่มคิดได้ จึงจัดพื้นที่ป่าส่วนหนึ่งขนาดเท่าประเทศสิงคโปร์เป็นเขตอนุรักษ์ เพื่อรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่หายาก อย่างเจ้าจิงโจ้ต้นไม้ตัวนี้ และสัตว์ป่าอื่นๆ


ไอโซพอด

ไอโซพอด (Isopod) เป็นสัตว์จำพวกครัสเตเชียนกลุ่มที่มีความหลากหลายมากที่สุดชนิดหนึ่ง พบอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ แต่จะพบได้มากที่สุดในทะเลน้ำตื้น สัตว์กลุ่มนี้มีความแตกต่างไปจากครัสเตเชียนส่วนใหญ่ เพราะสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมบนบกได้ดี (อันดับย่อย Oniscidia ได้แก่ เหาไม้ และแมลงสาบทะเล) แม้ว่าพบได้หลากหลายที่สุดในทะเลลึกก็ตาม (อันดับย่อย Asellota) มีหลายสปีชีส์ในจีนัส Cymothoa ที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิตในช่องปากของปลา รู้จักกันในชื่อว่า "ตัวกัดลิ้น (Tongue biter)" สัตว์ในกลุ่มไอโซพอดจัดว่าเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบฟอสซิลตั้งแต่ในยุคคาร์บอนิเฟอรัส (อันดับย่อย Phreatoicidea วงศ์ Paleophreatoicidae) ซึ่งแตกต่างเพียงเล็กน้อยไปจากกลุ่ม Phreatoicidean ยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทางซีกโลกใต้

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ปฏิชีวนะสารของมด ช่วยรักษาโรคติดเชื้อราในคน
พบว่า สารที่มดขับออกมามีฤทธิ์เป็นปฏิชีวนะสารเรียกว่า เมตาพูลริน (metapleurin) ซึ่งมดใช้ในการป้องกันการติดเชื้อราและแบคทีเรีย สารนี้มีคุณสมบัติเป็นไขมัน ซึ่งแตกต่างจากยาปฏิชีวนะอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง
นักชีววิทยาชาวออสเตรเลียได้ค้นพบว่า มดผลิตปฏิชีวนะสารเพื่อการควบคุมโรคในบริเวณที่อยู่อาศัย จากการทดลองของโรงพยาบาลแห่งนครซิดนีย์ได้พบว่า ปฏิชีวนะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กว้างขวาง สามารถทำลายจุลินทรีย์ได้หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคในคน เช่น เชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans)
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาเกี่ยวกับมดหลายเชื้อสาย เพราะเขาสนใจว่าทำไมมดจึงไม่มีส่วนช่วยในการผสมดอกไม้ในขณะที่ผึ้งและตัวต่อซึ่งเป็นแมลงที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์พบว่า เกสรดอกไม้จะตายไปเมื่อสัมผัสกับตัวมดอันเนื่องมาจากสารที่ถูกขับถ่ายออกมาจากต่อมบริเวณทรวงอกของมดที่เรียกว่า ต่อมเมตาพูลรอล (metapleural glands)
เมื่อได้ศึกษาต่อไปจึงพบว่า สารที่มดขับออกมามีฤทธิ์เป็นปฏิชีวนะสารเรียกว่า เมตาพูลริน (metapleurin) ซึ่งมดใช้ในการป้องกันการติดเชื้อราและแบคทีเรีย สารนี้มีคุณสมบัติเป็นไขมัน ซึ่งแตกต่างจากยาปฏิชีวนะอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เมตาพูลรินนี้มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญ คือ ทำให้เกสรดอกไม้เหี่ยวเฉาและตายไป
จากการศึกษาพบว่า มีมดเพียงเชื้อสายเดียวที่ไม่มีต่อมเมตาพูลรอล มดชนิดนี้จึงมีหน้าที่ช่วยในการผสมเกสรดอกไม้ได้อย่างสำคัญ นั่นคือ สามารถช่วยในการผสมเกสรกล้วยไม้ได้ นอกจากนี้ยังพบอีกว่าฤทธิ์ของเมตาพูลรินต่อแบคทีเรียชนิดต่างๆ มากกว่า 300 ชนิด ให้ผลแตกต่างกันไป และมีฤทธิ์ทำลายเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียก่อโรคจำพวกฝีหนองที่สำคัญได้ดี
บริษัทยาในประเทศอังกฤษได้ให้ความสนใจต่อฤทธิ์ของเมตาพูลรินที่สามารถทำลายเชื้อราได้ บริษัทยาได้เรียกร้องให้พิสูจน์ว่า เมตาพูลรินสามารถทำลายเชื้อราได้จริงๆ และจากผลการทดลองของโรงพยาบาลเวสต์มีคพิสูจน์ว่า เมตาพูลรินมีฤทธิ์ทำลายเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ได้ผลดีมาก และขณะนี้กำลังศึกษาฤทธิ์ของยานี้ต่อเชื้อราชนิดอื่นๆ ต่อไป
เปลือกผลไม้ให้ประโยชน์



คนไหนที่เคยบอกว่า...เปลือกผลไม้ปอกทิ้งไปเลย-ไม่มีประโยชน์อะไร...คุณคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่แล้ว!! เพราะอันที่จริงผลไม้หลายชนิด ที่เราไม่เคยกินเปลือกของมันนั้น ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์แฝงอยู่ในตัวของมัน เช่น...

เปลือกสับปะรด

สามารถสามารถแปลงโฉมภาชนะทองเหลืองของคุณให้ดูสะอาดเอี่ยมราวกับซื้อมาใหม่ โดยนำเอาภาชนะพวกทองเหลืองหรือเครื่องเงินลงแช่ในน้ำใส่เปลือกสับปะรดลงไปให้มิดทิ้งไว้สักหนึ่งคืนก่อนที่จะนำมาล้างให้สะอาดด้วน้ำธรรมดา

เปลือกทุเรียน

ไม่ใช่จะเอาไว้สำหรับให้แม่ค้าขว้างใส่หน้านางอิจฉาที่หลงมาเดินที่ตลาดนะ... แต่เปลือกทุเรียนยังสามารถเอามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านไหม้ได้ เพียงแค่นำไปตากให้แห้งไม้ได้ หรือเวลาที่คุณกินทุเรียนแล้วเกิดอาการร้อนใน ก็ลองดื่มน้ำที่รินใส่เปลือกทุเรียนผสมกับเกลือเล็กน้อย อาการก็จะบรรเทาลง นอกจากนั้นน้ำที่ใส่ในเปลือกทุเรียนหากเอามาล้างมือล้างปากก็สามารถแก้กลิ่นทุเรียนที่ติดอยู่ได้อีกด้วย...

เปลือกส้มโอ

นอกจากจะมีประโยชน์โดยการเอาไปทำส้มโอเชื่อมและส้มโอมือแล้ว ยังสามารถนำไปขัดภาชนะที่ทำจากอะลูมิเนียมให้มีความใสและมันวาวได้อีกด้วย แต่ต้องนำเปลือกส้มโอมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในน้ำเดือดประมาณ 20 นาที ก่อนที่จะนำเปลือกส้มโอที่ต้มแล้วมาขัดถูภาชนะพร้อมกับสบู่ แค่นี้เครื่องครัวของคุณก็จะแวววาวสดใสโดยไม่ต้องเปลืองตังค์ไปซื้อน้ำยาราคาแพง

เปลือกส้มเขียวหวาน

นอกจากจะไว้ดื่มกินเพื่อความสดชื่นแบบนางเอ๊กนางเอกแล้ว... เปลือกส้มสามารถกำจัดยุงได้! เพียงแค่นำไปตากให้แห้งสักแดดสองแดด นำมาสุมไฟไล่ยุงได้เป็นอย่างดีไม่มีสารตกค้าง และไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

เปลือกกล้วย

ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่นได้ดี เพียงคุณใช้เปลือกกล้วยล้างน้ำให้สะอาดแล้วใช้ถูกับมือ ข้อเท้า ขา หรือใบหน้าก็ได้ นอกจากจะทำให้ผิวชุ่มชื่นไม่แห้งกร้านแล้วยังทำให้ผิวนุ่ม นอกจากนั้นเปลือกล้วยน้ำว้าสามารถนำไปขัดรองเท้าได้ดีพอๆกับน้ำยาขัดรองเท้าด้วย

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553


แฟนตาซี

แฟนตาซี (อังกฤษ: Fantasy) เป็นงานวรรณศิลป์ประเภทหนึ่งที่มีเค้าโครงหรือเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์และเรื่องเหนือจริง มักมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในยุคกลางของยุโรป หรือมีลักษณะที่แสดงถึงยุคเดียวกันนั้น เช่นสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้าง เครื่องแต่งกาย หรือเทคโนโลยี โลกแห่งแฟนตาซีมักยอมรับสภาวะเหนือจริงและเวทมนตร์ต่างๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ ความแตกต่างระหว่างแฟนตาซี กับนิยายวิทยาศาสตร์หรือนิยายสยองขวัญ คือลักษณะของเทคโนโลยีและวิธีการนำเสนอเกี่ยวกับความตาย งานแฟนตาซีประกอบด้วยผลงานประพันธ์ของนักเขียน ศิลปิน นักดนตรี หรือนักสร้างภาพยนตร์มากมาย นับแต่อดีตกาลประหนึ่งปกรณัมหรือตำนานลี้ลับ สืบต่อมาจนถึงปัจจุบันที่เผยแพร่แก่ผู้คนจำนวนมาก

ประวัติ

งานแฟนตาซีชิ้นแรกที่พบเห็นเป็นหลักฐานอาจได้แก่ มหากาพย์กิลกาเมช (the Epic of Gilgamesh) แต่งานแฟนตาซีเก่าแก่มีอยู่มากมายเช่น มหากาพย์โอดิสซีย์ ตำนานเบวูล์ฟ มหาภารตะ พันหนึ่งราตรี รามายณะ จนกระทั่งถึง ตำนานกษัตริย์อาเธอร์ และมหากาพย์ต่างๆ มากมายในยุคกลาง ที่เกี่ยวข้องกับวีรบุรุษ วีรสตรี ปีศาจอันน่าสะพรึงกลัว และดินแดนลี้ลับ ซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง กล่าวไปแล้ว ประวัติศาสตร์ของแฟนตาซีกับประวัติศาสตร์วรรณกรรมก็มีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกันมาก
งานบางชิ้นมีความคาบเกี่ยวกันอย่างใกล้ชิด ไม่ชัดเจนว่าเป็นงานแฟนตาซี หรืองานประเภทอื่น ซึ่งขึ้นกับจุดมุ่งหมายของผู้ประพันธ์ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องเหนือจริง เช่น เรื่อง A Midsummer Night's Dream หรือ Sir Gawain and the Green Knight ทำให้จุดเริ่มต้นแท้จริงของวรรณกรรมแฟนตาซีไม่อาจระบุชี้ชัดลงไปได้
[1]
สำหรับวรรณกรรมแฟนตาซียุคใหม่ อาจเริ่มจากผลงานของจอร์จ แมคโดนัลด์ นักประพันธ์ชาวสก๊อตผู้เขียนเรื่อง The Princess and the Goblin และ Phantastes ซึ่งเรื่องหลังนี้นับว่าเป็นงานแฟนตาซีสำหรับผู้ใหญ่เรื่องแรกของโลก แมคโดนัลด์เป็นแรงบันดาลใจสำคัญยิ่งต่อ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และ ซี. เอส. ลิวอิส นักประพันธ์งานแฟนตาซีอีกผู้หนึ่งในยุคเดียวกันนี้คือ วิลเลียม มอร์ริส กวีชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงที่ได้แต่งนวนิยายไว้มากมาย รวมถึงเรื่อง The Well at the World's End
ถึงกระนั้น วรรณกรรมแฟนตาซีก็ยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้อ่านกว้างขวางนัก
เอ็ดเวิร์ด พลังเคทท์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ลอร์ดดันเซนี (Lord Dunsany) เป็นผู้ริเริ่มงานเขียนแนวนวนิยายและเรื่องสั้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มของความนิยมที่เข้าถึงผู้อ่านมากขึ้น นักเขียนงานแฟนตาซีแนวนี้ในยุคนั้นได้แก่ เอช. ไรเดอร์ แฮ็กการ์ด รุดยาร์ด คิปลิง และ เอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โรส์ รวมถึง อับราฮัม เมอร์ริทท์ ต่างพากันสร้างผลงานแฟนตาซีในแขนงที่เรียกกันว่า "Lost World" ซึ่งเป็นวรรณกรรมแฟนตาซีแขนงที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผลงานวรรณกรรมแฟนตาซีสำหรับเด็กระดับคลาสสิคได้เผยแพร่ในยุคนั้นหลายเรื่อง เช่น ปีเตอร์ แพน และ พ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ เป็นต้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ งานแฟนตาซีแขนง "Juvenile" (แฟนตาซีสำหรับเด็ก) จะเป็นที่นิยมและยอมรับมากกว่าวรรณกรรมแฟนตาซีสำหรับผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้เหล่านักเขียนจึงพากันสร้างผลงานออกมาเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็กเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดผลกระทบต่องานแฟนตาซีทั้งหมดที่สร้างขึ้นในยุคนั้น ไม่เว้นแม้แต่ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ล้วนถูกจัดกลุ่มไปว่าเป็น วรรณกรรมเยาวชน กันทั้งนั้น
ปี ค.ศ. 1923 ได้มีนิตยสารที่มุ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับ
นวนิยายแฟนตาซี โดยเฉพาะ ชื่อว่า Weird Tales หลังจากนั้นก็เกิดมีนิตยสารแนวนี้ขึ้นอีกมาก ฉบับที่มีชื่อเสียงคือ The Magazine of Fantasy and Science Fiction การเผยแพร่งานผ่านนิตยสารทำให้วรรณกรรมแฟนตาซีเผยแพร่สู่ผู้อ่านจำนวนมากขึ้น และเป็นที่นิยมอย่างสูงทั้งในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ นิตยสารบางฉบับเริ่มจับแนวทางของนิยายวิทยาศาสตร์ด้วย ทำให้วรรณกรรมสองสาขานี้มีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันมากกว่าสาขาอื่นๆ
เมื่อถึง ปี ค.ศ. 1950 วรรณกรรมแฟนตาซีแนว "ดาบและเวทมนตร์" ก็สามารถเข้าถึงผู้อ่านเป็นวงกว้าง ดังเห็นในความสำเร็จของ Conan the Barbarian ของ
โรเบิร์ต อี. โฮวาร์ด หรือ Fafhrd and the Gray Mouser ของ ฟริตซ์ ไลเบอร์ และแล้วก็เกิดวรรณกรรมแฟนตาซีแขนงใหม่ คือ "แฟนตาซีระดับสูง" (High Fantasy) เรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือผลงานของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เรื่อง เดอะฮอบบิท และ เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ซึ่งส่งผลให้มีวรรณกรรมแฟนตาซีเกิดขึ้นสู่บรรณพิภพเป็นจำนวนมาก ผลงานอื่นๆ เช่น ตำนานแห่งนาร์เนีย ของ ซี. เอส. ลิวอิส และ พ่อมดแห่งเอิร์ธซี ของ เออร์ซูลา เค. เลอกวิน ทำให้ความนิยมในวรรณกรรมสาขานี้แข็งแกร่งมั่นคงยิ่งขึ้น
ความนิยมในวรรณกรรมแฟนตาซียังคงสืบเนื่องต่อมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเกิดปรากฏการณ์หนังสือขายดีที่สุด จากเรื่อง
แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ ผลงานของ เจ. เค. โรว์ลิ่ง ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากวรรณกรรมแฟนตาซีก็เกิดขึ้นมากและประสบผลสำเร็จหลายเรื่อง เรื่องที่โดดเด่นที่สุดได้แก่ ภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ของผู้กำกับภาพยนตร์ ปีเตอร์ แจ็คสัน

Cheval



Le cheval (Equus ferus caballus[1],[2] ou equus caballus) est un grand mammifère herbivore et ongulé appartenant à l'une des sept espèces de la famille des équidés. Il a évolué au cours des dernières 45 à 55 millions d'années à partir d'un petit mammifère possédant plusieurs doigts pour devenir l'animal à sabot unique que l'on connait aujourd'hui. L'utilisation de cet animal domestiqué il y a environ 5 500[3] ou 4 000 ans se serait répandue de 3 000 à 2 000 ans av. J.C. à toute l'Eurasie. Bien que la quasi-totalité des chevaux soient aujourd'hui domestiques, le cheval de Przewalski est considéré comme le dernier vrai cheval sauvage, et il existe de nombreux chevaux domestiques retournés à l'état sauvage.
Il s'agit d'une espèce animale employée par l'
Homme et celui-ci a développé un vaste vocabulaire spécialisé pour décrire les concepts liés au cheval. Ce lexique va de son anatomie et sa morphologie aux étapes de sa vie en passant par sa couleur, ses races, sa locomotion et son comportement. En ce qui concerne les spécificités liées à l'espèce, les chevaux comptent sur leur vitesse pour échapper aux prédateurs, ont un bon sens de l'équilibre, un fort instinct de fuite et un trait inhabituel dans le règne animal : ils sont capables de dormir debout tout comme en position couchée. Les femelles, appelées juments, mettent bas après onze mois de gestation un petit nommé poulain. Celui-ci peut se lever et courir peu de temps après sa naissance. La plupart des chevaux domestiques sont dressés pour l'équitation entre l'âge de deux et quatre ans. Ils atteignent leur plein développement à cinq ans en moyenne et leur durée de vie va environ de 25 à 30 ans.
Des siècles durant, les chevaux furent des animaux de
guerre et de transport au service des hommes. Ils permirent l'essor du commerce et l'expansion de civilisations sur de grandes étendues. Considéré comme « la plus noble conquête de l'homme », présent dans les mythes, les légendes, nombre d'encyclopédies spécialisées et toutes les formes d'art, le cheval est, de tous les animaux, celui qui a sans doute le plus marqué l'histoire et les progrès de l'humanité[4]. Il est à l'origine de métiers liés à son entretien, son commerce ou aux activités sportives d'équitation, les plus célèbres étant les sports hippiques. Dans la plupart des pays développés, le cheval est désormais monté pour les loisirs et les compétitions sportives, mais il peut également être utilisé en thérapie, ou pour la production de biens de consommation grâce à sa viande, son lait, son cuir et même son urine. Dans d'autres pays, le cheval reste un partenaire indispensable à l'agriculture et au transport. L'entretien des chevaux domestiques demande un matériel particulier et l'attention de spécialistes.
Les chevaux sont divisés en trois types selon leur tempérament : les
sang chaud caractérisés par leur vitesse et leur endurance, les sang froid, plus lents et destinés aux travaux pénibles, et les demi-sang, ou warmbloods, issus de croisements entre des chevaux à sang chaud et à sang froid, qui sont souvent destinés aux sports équestres en particulier en Europe. Il existe plus de 300 races de chevaux dans le monde.

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

เทศกาลล่าเเมวน้ำ


การล่าแมวน้ำในแคนาดาจะจัดเป็นประจำทุกปี โดยกลุ่มดูแลสิทธิของสัตว์หลายกลุ่ม บอกว่า การล่าแมวน้ำ ซึ่งเป็นเทศกาลล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำที่ใหญ่ ที่สุดในโลก เป็นการทารุณกรรมและยากที่จะคอยติดตามดูแล อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของแมวน้ำอีกด้วย แต่หน่วยงานด้านการประมงและนักล่าแมวน้ำปกป้องเรื่องนี้ โดยยืนยันว่า เป็นการล่าอย่างพอเพียง และมีการจัดการที่ดี




สำหรับปีนี้ บรรดาพรานล่าแมวน้ำต้องดำเนินหลายขั้นตอนในการล่าแมวน้ำ เพื่อให้แน่ใจว่า แมวน้ำเหล่านั้นตายก่อนที่พวกมันจะถูกถลกหนัง รวมทั้งต้องตัดเส้นเลือดใต้ ครีบของมัน ตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในรายงานของสหภาพยุโรป เมื่อเดือนธันวาคมที่แล้ว และปีนี้จำนวนแมวน้ำที่ได้รับอนุญาตให้ล่าได้มีทั้งหมด 275,000 ตัว สูงขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว ที่อนุญาตให้ล่าได้ 270,000 ตัว


อ่านข่าวนี้แต่ไม่เห็นรูป เลยไปค้นหาภาพมาให้ชมถึงความโหดร้าย ของมนุษย์ ก็เลยมาคิดว่า พวกฝรั่งเนี้ย เค้าจะทำอะไรตามหลักวิชาการดีเหมือนกัน การล่าเพื่อความพอเพียง ไม่ใช่ล่าเพื่ออาหาร แต่ล่าเพื่อการพาณิชย์ ( พอเพียงจริงๆ สองแสนเจ็ดหมื่นกว่าตัว คงได้เงินมาหลาย แน่ๆ ) และลดปริมาณของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ใช้ชีวิตอยู่ในน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหภาพยุโรปก็เอากับเขาด้วยนะ อนุญาติให้ล่าแต่ต้องไม่ทารุณมัน ด้วยการตีที่หัวแล้ว ใช้มีดตัดเส้นเลือด ก่อนถลกหนัง ก็มันก็เจ็บ และ ตายเหมือนกัน ( หรือเพียงเพื่อเป็นหลักการรักษาคุณภาพของหนังแมวน้ำ ) ทำไม มนุษย์ไม่มีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้แล้วหรือ ช่วยกัน ช่วยกันหยุดการทารุณ และ การฆ่าสัตว์


วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

Unicorn

A unicorn (from Latin unus 'one' and cornu 'horn') is a mythological creature. Though the modern popular image of the unicorn is sometimes that of a horse differing only in the horn on its forehead, the traditional unicorn also has a billy-goat beard, a lion's tail, and cloven hooves—these distinguish it from a horse. Marianna Mayer has observed (The Unicorn and the Lake), "The unicorn is the only fabulous beast that does not seem to have been conceived out of human fears. In even the earliest references he is fierce yet good, selfless yet solitary, but always mysteriously beautiful. He could be captured only by unfair means, and his single hornwas said to neutralize poison.

History

Unicorns in antiquity
A one-horned animal (which may be just a
bull in profile) is found on some seals from the Indus Valley Civilization.Seals with such a design are thought to be a mark of high social rank.[

Biblical

An animal called the re’em (Hebrew: רְאֵם‎) is mentioned in several places in the Hebrew Bible, often as a metaphor representing strength. "The allusions to the re'em as a wild, un-tamable animal of great strength and agility, with mighty horn or horns (Job xxxix. 9-12; Ps. xxii. 21, xxix. 6; Num. xxiii. 22, xxiv. 8; Deut. xxxiii. 17; comp. Ps. xcii. 11), best fit the aurochs (Bos primigenius). This view is supported by the Assyrian rimu, which is often used as a metaphor of strength, and is depicted as a powerful, fierce, wild mountain bull with large horns."[3] This animal was often depicted in ancient Mesopotamian art in profile, with only one horn visible.
The translators of the
Authorized King James Version of the Bible (1611) followed the Greek Septuagint (monokeros) and the Latin Vulgate (unicornis)[4] and employed unicorn to translate re'em, providing a recognizable animal that was proverbial for its un-tamable nature. The American Standard Version translates this term "wild ox" in each case.

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553


9 ข้อที่ควรรู้ก่อนไปเมืองนอก!

ควรเตรียมตัวอย่างไร? และมีอะไรบ้างที่ควรจัดให้พร้อมเอาไว้?

นอกจากนั้นพี่ได้รวมเอาเวปไซด์ที่น่าเข้าชมและที่สำคัญๆ เกี่ยวกับการศึกษาต่อต่างประเทศในประเทศต่างๆและทวีปต่างๆจากทั่วโลกมาให้น้องๆได้รู้จักกัน บางแหล่งอาจเข้าไปแวะชมได้ในบ้านเราเนื่องจากเป็นสถาบันแนะแนวการศึกษาต่างๆประเทศที่เชื่อถือได้และได้รับมาตรฐานรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยทั่วโลก รับรองว่าอ่านการเตรียมพร้อมและความไม่ประมาทจะนำมาซึ่งความสำเร็จและความมั่นใจนะคะ (มีชัยไปหว่าครึ่งแล้วนะคะ)

หนึ่ง หาข้อมูลว่าว่าประเทศที่จะเดินทางไปนั้นมีกฎหมาย ห้ามการนำสิ่งของใดเข้าประเทศ ในบางประเทศ เช่น ประเทศสิงคโปร์และประเทศ มาเลเซีย การนำอาวุธปืน กระสุน วัตถุระเบิด หรือยาเสพติดร้ายแรงเข้าประเทศจะ มีโทษถึงประหารชีวิต สำหรับประเทศญี่ปุ่นมีกฎหมายห้ามนำยาคุมกำเนิดเข้า ประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต

สองไม่ควรรับฝากสิ่งของจากผู้อื่น เว้นแต่จะได้ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยตนเองแล้วว่า สิ่งของนั้นไม่เป็นของที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด อาวุธ หรือสารต้องห้าม เพราะ หากถูกเจ้าหน้าที่ปลายทางตรวจพบจะยากในการแก้ข้อหา

สองไม่ควรรับฝากสิ่งของจากผู้อื่น เว้นแต่จะได้ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยตนเองแล้วว่า สิ่งของนั้นไม่เป็นของที่ผิดกฎหมาย เช่น ยาเสพติด อาวุธ หรือสารต้องห้าม เพราะ หากถูกเจ้าหน้าที่ปลายทางตรวจพบจะยากในการแก้ข้อหา

สี่หนังสือเดินทางเป็นเอกสารสำคัญมากควรถ่ายสำเนาเก็บไว้อย่างน้อย 1 ชุด และ ในกรณีที่หนังสือเดินทางหายให้แจ้งความต่อตำรวจท้องถิ่นและนำใบแจ้งความมา ติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูต หรือสถานกงสุลไทยที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที เพื่อขอออกเอกสาร การเดินทางแทน กรณีเช่นนี้ หากมีบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงก็จะช่วยให้ออก เอกสารการเดินทางได้เร็วขึ้น

ห้า ควรหมั่นตรวจสอบอายุของวีซ่า เพราะหากวีซ่าขาดอายุท่านอาจถูกปรับ จำคุก และ/หรือส่งตัวกลับประเทศไทยได้

หก กรณีประสบเหตุร้ายในต่างประเทศ เช่น ประสบอุบัติเหตุ ถูกล่อลวงไปค้าประเวณี ถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยมิชอบ ท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากสถานทูต สถานกงสุล ไทยได้ทุกแห่ง แม้ว่าท่านอาจไม่มีหนังสือเดินทาง หรือวีซ่าขาดอายุ หรือเป็นผู้เข้าเมือง โดยผิดกฎหมายก็ตาม

เจ็ด ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศเป็นระยะเวลานานควรแจ้ง ชื่อ ที่อยู่ ให้สถานทูตหรือ สถานกงสุลไทยประจำประเทศที่ไปอยู่ทราบ รวมทั้งแจ้งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ทุกครั้ง เพื่อทางสถานทูต สถานกงสุลสามารถติดต่อท่านได้ในยามฉุกเฉิน

แปด ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศควรเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเงินไปโดยใช้เช็คเดินทางแล้วจึงค่อยไปเปิดบัญชีนำเช็คนี้ฝากกับทางแบงค์ของประเทศนั้นๆเพื่อความปลอดภัยไม่ควรนำเงินสดไปมากเกินเป็นหมื่นๆเหรียญนะคะ ไม่กี่พันก็พอแล้วเผื่อฉุกเฉิน หากจะให้ดีควรที่จะทำบัตรเครดิตเอาไว้ในกรณีจำเป็นที่จะต้องเช่าที่พักหรือเช่าพาหนะขับขี่จะได้สามารถรูดการ์ดได้เพื่อความสะดวกในการเดินทางที่ปลอดภัย

เก้า ผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศเป็นระยะเวลานานควรที่จะทำประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตไว้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศนั้นสูงมากดังนั้นการทำประกันสุขภาพเอาไว้แต่เนิ่นๆจะสามารถป้องกันการเสียค่าใช้จ่ายในคราวมีอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ ที่สำคัญการตรวจสุขภาพและทำฟัน หรือการฉัดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆเป็นสิ่งที่จำเป็นก่อนการเดินทางไปเมืองนอกนะคะ สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเพราะไม่ว่าจะเกินทางไปทำงานหรือเรียนที่ไหนหากสุขภาพไม่ดีก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากกลับบ้านอย่างเดียว